ครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับ SAP ก็ถูกมอบหมายให้ส่ง WM Master ให้กับ Programmer นั่นทำให้ผมอึ้งไปเลยดีเดียว ว่า กูจะทำยังไง ไม่เคยเรียน ไม่เคบใช้งาน SAP มาก่อน แต่ก็เพราะได้รับความช่วยเหลือจากพี่แผนก IT ของบริษัทที่เคยผ่านการใช้งาน SAP และพี่เท่านั้นก็อ่านคู่มือ SAP ที่เป็นภาษาอังกฤษประกอบ ในที่สุดก็รอดตัวไปได้ แม้ผลลัพธฺ์อาจจะออกมาไม่ค่อย Work ก็ตาม มาดูกันว่าถ้าคุณเจอสถานการณ์แบบนี้ คุณควรจะรู้อะไรบ้าง
1.PLANT คือ โรงงาน บริษัท หรือ หน่วยธุรกิจ ซึ่งบน WM ถือว่า Plant นี่ใหญ่ที่สุด (จากประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา) โดยมาก PLANT จะถูกกำหนดมาอยู่แล้วว่าจะเป็นเลขตาม Logic หรือ Running Number
ในส่วนนี้ ผมไม่ได้กำหนดตัวเลขให้
2.SLOC คือ Storage Location หรือที่จัดเก็บสินค้าบน MM สำหรับคนที่ดูสินค้าบน MM จะรู้ว่า SLOC นี้มีสินค้ารวมเท่าไหร่ โดยมาก SLOC จะกำหนดให้เป็นสถานะของสินค้าเช่น
SLOC ชือ 100 หมายถึงสินค้าดีพร้อมขาย
SLOC ชื่อ 200 หมายถึงสินค้าเสีย
SLOC ชื่อ 300 หมายถึงสินค้ารอทำลาย
SLOC ชื่อ 400 หมายถึงสินค้า DEMO สามารถยืมไปแสดงสินค้าได้
ซึ่งผม ณ ตอนนั้นผมได้กำหนดไปแค่ 2 อย่างคือ สินค้าพร้อมขาย และ สินค้าเสีย อันที่หากใครกำลัง Implement โดยไม่ได้มี Consult เก่งๆละก็ผมเสนอว่าควรจะมีอย่างน้อยตามตัวอย่างด้านบน แต่อย่ามากเกินไปคนในบริษัทจะได้ไม่ปวดหัว
ภาพด้านล่างคือตัวอย่างการวิว Stock บน MM ด้วย T-Code : MB52 ซึ่งจะให้เราระบุแค่ Plant และ Storage Unit ก็เพียงพอต่อการหสข้อมูลเบื้องต้น
3.Warehouse Number ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าหมายโกดัง เท่าที่เห็นมา ส่วนมากจะนิยม 1 Warehouse Number ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าเป็นข้อกำหนด ข้อจำกัดรึเปล่า แต่มันก็มีข้อดีคือ ไม่สับสนเวลาพูดถึง PLANT นี้ก็มีแค่ Warehouse Number เดียว เราอาจจะตั้งชื่อ Warehouse Number เป็นชื่อสถานที่ตั้งหรือเป็นตัวเลขก็ได้ เช่น
BKK คือโกดังที่สุวรรณภูมิ
DMY คือโกดังที่ดอนเมือง
CNX คือโดังที่เชียงใหม่
KKC คือโกดังที่ขอนแก่น
ซึ่งที่ผ่านมาผมเห็นจะกำหนดไว้ที่ 3 Digit นะครับ ไม่รู้ว่ากำหนดได้มากหรือน้อยกว่านี้หรือไม่ แต่ดูจากช่องที่ให้ใส่ก็คงได้มากสุดคือ 3 Digit ครับ พอดีช่องที่ให้กรอก
ภาพด้านล่างคือตัวอย่างการวิว Stock บน WM ด้วย T-Code : LS24 ซึ่งจะให้เราต้องระบุ Warehouse Number, Material Number และ Plant ถึงจะดูว่าสินค้าเก็บอยู่ที่ไหนบ้าง
4.Storage Type คือประเภทของการจัดเก็บสินค้าในคู่มือ SAP บอกว่าสามารถกำหนดเป็นประเภท ABC Item ก้ได้หรือตามประเภทการจัดเก็บก็ได้ ผมแนะนำให้เลือกตามประเภทการจัดเก็บ ดังนี้
110 คือ Racking Zone จัดเก็บสินค้าบน Rack
120 คือ Shelve Zone จัดเก็บสินค้าใน Shelve
130 คือ Bulk Zone จัดเก็บสินค้าบนพื้น
และจัดที่สำคัญมากนะครับ ไม่ควรกำหนดให้ Storage Type นั้นเก็บแบบ Mix SKU ได้ควรเป็น Single SKU ทั้งหมดหรืออย่างมากสุดที่ Mix SKU ได้คือ 1 Storage Type เท่านั้น ผมเคยทำผิดพลาดไว้ตอนที่ Set Up ไปบอก Programmer ว่า Mix SKU ทั้งหมด ทำให้ Warehouse เละมากครับ(แนะนำ 130 อย่างเดียว) เพราะอะไรครับ
คุณลองจินตนาการว่าในช่องจัดเก็บ Mix ได้หมด ผลก็คือมั่วกันไปหมด อยากจะเก็บอะไรที่ไหนก็เก็บ ดังนั้นการให้ Warehouse เป็น Single SKU จึงสำคัญมากครับ เก็บกันไม่เป็นที่ Stock ไม่ตรงเพราะ นึกจะ Put Away ที่ Bin Number ไหนก็เข้าไปเลยไม่ได้มีการแจ้งเตือนก่อนว่ามี SKU เดิมจัดเก็บอยู่หรือไม่ โปรดอย่าทำผิดพลาดแบบผมนะครับ
5.Storage Section คือหน่วยที่ย่อยลงจาก Storage Type โดยอาจจะระบุเป็น Zone ย่อยของการจัดเก็บ เช่นผมก็จะแบ่ง Zone การจัดเก็บดังนี้
010 คือ สินค้า Class A หรือสินค้าของแผนก A (เลือกว่าจะใช้ Logic ไหน)
011 คือ สินค้า Class B หรือสินค้าของแผนก B
012 คือ สินค้า Class C หรือสินค้าของแผนก C
013 คือ สินค้าที่วางบนพื้น (สร้างเพื่อรองรับกับ Storage Type 130)
คุณอาจจะกำหนดได้มากกว่านี้หากมีการกำหนด Zone ที่ชัดเจนใน Layout ซึ่งมันช่วยให้เวลาเราดึงข้อมูลจากระบบมา สามารถตอบได้ทันทีว่าอะไรอยู่ตรงไหนและสินค้าที่ไปเก็บอยู่นั้นมันถูกต้องกับ Layout ที่วางไว้หรือไม่
6.Bin Number คือหน่วยที่เล็กเกือบสุดของ WM นั่นก็คือชื่อของชั้นจัดเก็บ ช่องจัดเก็บ หรือ BAY ที่เราไว้เรียกขานกันนั้นเอง ดังนั้นหากมีการกำหนด Logic การตั้งชื่อไว้ดีก็ช่วยให้การวิเคราะห์ หรือการทำงานในส่วนอื่นๆง่ายขึ้น ผมคงไม่แนะนำอะไรมากอันนี้แล้วแต่จะกำหนด แต่สิ่งที่ผมจะยกตัวอย่างไว้เผื่อเป็นแนวทางแล้วกันนะครับ ผมสร้าง Bin Number 10 Digit ดังนี้
6.1 Zone (2 Digit) ควรมีการการะบุ Zone ลงใน Bin Number ด้วยเช่น Rack Zone ก็ขึ้นต้นด้วยR1 R2 หรือ R3 เป็๋นต้น
6.2 Aisle (2 Digit) ระบุช่องระหว่าง Rack หรือเรียกว่าหมายเลข Gang Way เอาไว้ด้วย เช่น 01 02 หรือ 03
6.3 Bay (2 Digit) ระบุหมายเลข Bay ว่าอยู่ Bay ไหนซึ่งผมก็แบ่งอีกว่า ขวามือ คือ Bay เลขคี่ (Ood) ซ้ายมือ คือ Bay เลขคู่ (Even) เพื่อให้เวลาเราอ่านชื่อก็รู้เลยว่าอยู่ทางซ้ายหรือขวาของ Gang Way
6.4 Level (2 Digit) ระบุว่าอยู่ชั่นจัดเก็บที่เท่าไหร่ 10 20 30 40 50 ก็ไล่เรียงไปเรื่อยๆ
6.5 Point (2 Digit) เนื่องจาก 1 Bay เราสามารถวางได้มากกว่า 1 พาเลต ดังนั้นเราต้องระบุด้วยว่าจุดนี้คือวางตรงไหนของ Bay หัว กลาง ท้าย (A1 B1 C1)
เราทั้งหมดแล้วก็ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็น R1010210A1 แปลความหมายว่า สินค้าจัดเก็บที่ โซน R1 Aisle 01 Bay 02 อยู่ด้านซ้ายมือ วางบนชั้นที่ 1 และตำแหน่งทีหัวของ Bay ดังภาพด้านล่าง
7.Storage Bin Type คือนี่หน่วยที่เล็กที่สุดของ WM โดยเจ้านี่ให้เราระบุขนาด (กว้าง*ยาว*สูง) ของพาเลตที่เก็บ ซึ่งเราสามารถกำหนดแบบง่ายๆได้นะครับเช่น
010 คือ 80 cm. x 100 cm. x 100 cm. หรือระบุชื่อ Euro Pallate
020 คือ 100 cm. x 120 cm. x 100 cm. หรือระบุชื่อ Standard Pallate
030 คือ 20 cm. x 25 cm. x 30 cm. หรือระบุชื่อ Shelve
040 คือ Open Storage (รองรับกับ Storage Type 130)
เอาหละครับ ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางเบี้องต้นสำหรับมือใหม่ที่กำลังจะโดน Sad After Purchase เล่นงานครับ เพื่อจะได้ไม่ผิดพลาดแบบที่ผมทำผิดพลาดมาก่อน Operation จะได้ราบลื่นครับ
1.PLANT คือ โรงงาน บริษัท หรือ หน่วยธุรกิจ ซึ่งบน WM ถือว่า Plant นี่ใหญ่ที่สุด (จากประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา) โดยมาก PLANT จะถูกกำหนดมาอยู่แล้วว่าจะเป็นเลขตาม Logic หรือ Running Number
ในส่วนนี้ ผมไม่ได้กำหนดตัวเลขให้
2.SLOC คือ Storage Location หรือที่จัดเก็บสินค้าบน MM สำหรับคนที่ดูสินค้าบน MM จะรู้ว่า SLOC นี้มีสินค้ารวมเท่าไหร่ โดยมาก SLOC จะกำหนดให้เป็นสถานะของสินค้าเช่น
SLOC ชือ 100 หมายถึงสินค้าดีพร้อมขาย
SLOC ชื่อ 200 หมายถึงสินค้าเสีย
SLOC ชื่อ 300 หมายถึงสินค้ารอทำลาย
SLOC ชื่อ 400 หมายถึงสินค้า DEMO สามารถยืมไปแสดงสินค้าได้
ซึ่งผม ณ ตอนนั้นผมได้กำหนดไปแค่ 2 อย่างคือ สินค้าพร้อมขาย และ สินค้าเสีย อันที่หากใครกำลัง Implement โดยไม่ได้มี Consult เก่งๆละก็ผมเสนอว่าควรจะมีอย่างน้อยตามตัวอย่างด้านบน แต่อย่ามากเกินไปคนในบริษัทจะได้ไม่ปวดหัว
ภาพด้านล่างคือตัวอย่างการวิว Stock บน MM ด้วย T-Code : MB52 ซึ่งจะให้เราระบุแค่ Plant และ Storage Unit ก็เพียงพอต่อการหสข้อมูลเบื้องต้น
3.Warehouse Number ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าหมายโกดัง เท่าที่เห็นมา ส่วนมากจะนิยม 1 Warehouse Number ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าเป็นข้อกำหนด ข้อจำกัดรึเปล่า แต่มันก็มีข้อดีคือ ไม่สับสนเวลาพูดถึง PLANT นี้ก็มีแค่ Warehouse Number เดียว เราอาจจะตั้งชื่อ Warehouse Number เป็นชื่อสถานที่ตั้งหรือเป็นตัวเลขก็ได้ เช่น
BKK คือโกดังที่สุวรรณภูมิ
DMY คือโกดังที่ดอนเมือง
CNX คือโดังที่เชียงใหม่
KKC คือโกดังที่ขอนแก่น
ซึ่งที่ผ่านมาผมเห็นจะกำหนดไว้ที่ 3 Digit นะครับ ไม่รู้ว่ากำหนดได้มากหรือน้อยกว่านี้หรือไม่ แต่ดูจากช่องที่ให้ใส่ก็คงได้มากสุดคือ 3 Digit ครับ พอดีช่องที่ให้กรอก
ภาพด้านล่างคือตัวอย่างการวิว Stock บน WM ด้วย T-Code : LS24 ซึ่งจะให้เราต้องระบุ Warehouse Number, Material Number และ Plant ถึงจะดูว่าสินค้าเก็บอยู่ที่ไหนบ้าง
4.Storage Type คือประเภทของการจัดเก็บสินค้าในคู่มือ SAP บอกว่าสามารถกำหนดเป็นประเภท ABC Item ก้ได้หรือตามประเภทการจัดเก็บก็ได้ ผมแนะนำให้เลือกตามประเภทการจัดเก็บ ดังนี้
110 คือ Racking Zone จัดเก็บสินค้าบน Rack
120 คือ Shelve Zone จัดเก็บสินค้าใน Shelve
130 คือ Bulk Zone จัดเก็บสินค้าบนพื้น
และจัดที่สำคัญมากนะครับ ไม่ควรกำหนดให้ Storage Type นั้นเก็บแบบ Mix SKU ได้ควรเป็น Single SKU ทั้งหมดหรืออย่างมากสุดที่ Mix SKU ได้คือ 1 Storage Type เท่านั้น ผมเคยทำผิดพลาดไว้ตอนที่ Set Up ไปบอก Programmer ว่า Mix SKU ทั้งหมด ทำให้ Warehouse เละมากครับ(แนะนำ 130 อย่างเดียว) เพราะอะไรครับ
คุณลองจินตนาการว่าในช่องจัดเก็บ Mix ได้หมด ผลก็คือมั่วกันไปหมด อยากจะเก็บอะไรที่ไหนก็เก็บ ดังนั้นการให้ Warehouse เป็น Single SKU จึงสำคัญมากครับ เก็บกันไม่เป็นที่ Stock ไม่ตรงเพราะ นึกจะ Put Away ที่ Bin Number ไหนก็เข้าไปเลยไม่ได้มีการแจ้งเตือนก่อนว่ามี SKU เดิมจัดเก็บอยู่หรือไม่ โปรดอย่าทำผิดพลาดแบบผมนะครับ
5.Storage Section คือหน่วยที่ย่อยลงจาก Storage Type โดยอาจจะระบุเป็น Zone ย่อยของการจัดเก็บ เช่นผมก็จะแบ่ง Zone การจัดเก็บดังนี้
010 คือ สินค้า Class A หรือสินค้าของแผนก A (เลือกว่าจะใช้ Logic ไหน)
011 คือ สินค้า Class B หรือสินค้าของแผนก B
012 คือ สินค้า Class C หรือสินค้าของแผนก C
013 คือ สินค้าที่วางบนพื้น (สร้างเพื่อรองรับกับ Storage Type 130)
คุณอาจจะกำหนดได้มากกว่านี้หากมีการกำหนด Zone ที่ชัดเจนใน Layout ซึ่งมันช่วยให้เวลาเราดึงข้อมูลจากระบบมา สามารถตอบได้ทันทีว่าอะไรอยู่ตรงไหนและสินค้าที่ไปเก็บอยู่นั้นมันถูกต้องกับ Layout ที่วางไว้หรือไม่
6.Bin Number คือหน่วยที่เล็กเกือบสุดของ WM นั่นก็คือชื่อของชั้นจัดเก็บ ช่องจัดเก็บ หรือ BAY ที่เราไว้เรียกขานกันนั้นเอง ดังนั้นหากมีการกำหนด Logic การตั้งชื่อไว้ดีก็ช่วยให้การวิเคราะห์ หรือการทำงานในส่วนอื่นๆง่ายขึ้น ผมคงไม่แนะนำอะไรมากอันนี้แล้วแต่จะกำหนด แต่สิ่งที่ผมจะยกตัวอย่างไว้เผื่อเป็นแนวทางแล้วกันนะครับ ผมสร้าง Bin Number 10 Digit ดังนี้
6.1 Zone (2 Digit) ควรมีการการะบุ Zone ลงใน Bin Number ด้วยเช่น Rack Zone ก็ขึ้นต้นด้วยR1 R2 หรือ R3 เป็๋นต้น
6.2 Aisle (2 Digit) ระบุช่องระหว่าง Rack หรือเรียกว่าหมายเลข Gang Way เอาไว้ด้วย เช่น 01 02 หรือ 03
6.3 Bay (2 Digit) ระบุหมายเลข Bay ว่าอยู่ Bay ไหนซึ่งผมก็แบ่งอีกว่า ขวามือ คือ Bay เลขคี่ (Ood) ซ้ายมือ คือ Bay เลขคู่ (Even) เพื่อให้เวลาเราอ่านชื่อก็รู้เลยว่าอยู่ทางซ้ายหรือขวาของ Gang Way
6.4 Level (2 Digit) ระบุว่าอยู่ชั่นจัดเก็บที่เท่าไหร่ 10 20 30 40 50 ก็ไล่เรียงไปเรื่อยๆ
6.5 Point (2 Digit) เนื่องจาก 1 Bay เราสามารถวางได้มากกว่า 1 พาเลต ดังนั้นเราต้องระบุด้วยว่าจุดนี้คือวางตรงไหนของ Bay หัว กลาง ท้าย (A1 B1 C1)
เราทั้งหมดแล้วก็ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็น R1010210A1 แปลความหมายว่า สินค้าจัดเก็บที่ โซน R1 Aisle 01 Bay 02 อยู่ด้านซ้ายมือ วางบนชั้นที่ 1 และตำแหน่งทีหัวของ Bay ดังภาพด้านล่าง
7.Storage Bin Type คือนี่หน่วยที่เล็กที่สุดของ WM โดยเจ้านี่ให้เราระบุขนาด (กว้าง*ยาว*สูง) ของพาเลตที่เก็บ ซึ่งเราสามารถกำหนดแบบง่ายๆได้นะครับเช่น
010 คือ 80 cm. x 100 cm. x 100 cm. หรือระบุชื่อ Euro Pallate
020 คือ 100 cm. x 120 cm. x 100 cm. หรือระบุชื่อ Standard Pallate
030 คือ 20 cm. x 25 cm. x 30 cm. หรือระบุชื่อ Shelve
040 คือ Open Storage (รองรับกับ Storage Type 130)
เอาหละครับ ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางเบี้องต้นสำหรับมือใหม่ที่กำลังจะโดน Sad After Purchase เล่นงานครับ เพื่อจะได้ไม่ผิดพลาดแบบที่ผมทำผิดพลาดมาก่อน Operation จะได้ราบลื่นครับ
No comments:
Post a Comment