ผมคัดลอกการลงทุนของคุณหมีส้มมาจาก Link ด้านล่าง เพราะผมก็เป็นมือใหม่และบทความนี้ช่วยได้เยอะจริงๆ
ช่วยเข้าไปกด Like ด้วยนะครับ
Credit: https://www.facebook.com/pages/มีความสุขกับหุ้นปันผล-by-หมีส้ม
บทความวันที่ 15 เมษายน 2553 เวลา 1.18 น.
ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณที่ติดตามอ่านเพจหมีส้ม เนื่องจากแฟนเพจล้นหลามมาก ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะมีคนติดตามอ่านมาขนาดนี้ และก็ไม่รู้ว่าจะเลิกเขียนเมื่อไหร่ (เพราะไม่ค่อยมีความรู้ เขียนๆไปกลัวปล่อยไก่) แต่ก็เห็นว่ามีคนเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราได้ทำ ก็เลยมอบเอกสารให้ชุดหนึ่งที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุดตั้งแต่เขียนมา เป็นเอกสารที่เขียนตอนที่ป่วยหนักเมื่อหลายปีก่อน (แล้วก็คิดว่าอาจจะไม่รอด) ก็เลยลุกขึ้นมาพิมพ์เอกสารไว้ให้เพื่อนสนิท 4-5 คนได้เก็บไว้ใช้หากินในอนาคต วันนี้เลยเอามาเผยแพร่ให้ทุกคน..
อย่างไรก็ตาม แนวทางอันนี้ เป็นแนวทางที่ไม่ได้ลงทุนในหุ้นปันผล (ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของหมีส้ม 55) แต่เป็นแนวทางที่ค่อนข้างปลอดภัยในการลงทุน อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่อ่าน ให้นำไปไตร่ตรองและปรับใช้กันนะครับ เงินของท่าน เจ๊งของท่านครับ.. พร้อมกันนี้ก็ขอขอบพระคุณที่ติดตามอ่านเพจหมีส้มนะครับ..
วันนี้วันที่ 14 มีนาคม 2554 เวลา 2.12น. รู้สึกไม่สบายเยอะ กลัวจะหลับแล้วไม่ตื่น (ล้อเล่น) เลยพิมพ์เอกสารไว้ก่อน ตั้งใจจะพิมพ์เอาให้อ่านง่ายๆ สำหรับคนที่เพิ่งจะศึกษาเรื่องหุ้น ฝากแก๊ปอธิบายเพื่อนคนอื่นๆด้วย ข้อมูลการวิเคราะห์ทั้งหมด หาได้ในเวป www.set.or.th
ลงทุนในหุ้นก็เหมือนขายของ คือซื้อมาขายไป ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่าจะซื้อขายอะไร แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าซื้อมาเท่าไหร่ และสมเหตุสมผลหรือไม่ ยกตัวอย่างว่าเราซื้อรถซักคัน ไม่รู้ว่าคัมรี่หรือวีออส ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าจะซื้อคัมรี่หรือวีออส ปัญหามันอยู่ที่ว่าซื้อราคาเท่าไหร่ ถ้าคัมรี่ ขายที่ 4 ล้าน กับวีออส ขายที่ 1.5 แสนบาท ทั้งๆที่ป้ายแดงเหมือนกัน แม้คัมรี่จะดีกว่า แต่มันควรซื้อรึเปล่า เท่านั้นเอง
จากประวัติศาสตร์การเจ๊งหุ้นของคนทั่วไป (รวมทั้งของตัวเอง) อาจกล่าวได้ว่า ซื้อหุ้นจากความไม่สมเหตุสมผล สุดท้ายไม่น่ารอด หรือถ้ารอดก็คือโชคดี ดังนั้นเราต้องมีความคิดไปในทางวิทยาศาสตร์ คืออยู่ด้วยเหตุและผล จึงจะอยู่รอดได้ในตลาดหุ้น
จากเรื่องรถเมื่อกี้นี้ บางคนสงสัย เอ๊ะมันจะรู้ได้เหรอว่าหุ้นราคาเท่าไหร่ มูลค่าที่แท้จริงเท่าไหร่ คำตอบคือ รู้ได้ แต่ต้องระมัดระวัง... ราคาของหุ้นที่เคลื่อนไหวทุกวัน เค้าเรียกว่าราคาตลาด หรือ market price ส่วนราคาที่แท้จริงของหุ้น ก็คือ มูลค่าทางบัญชี เค้าเรียกว่า book value
มูลค่าทางบัญชี คือ เอาส่วนของผู้ถือหุ้น (สินทรัพย์ – หนี้สิน) มาหารจำนวนหุ้นทั้งหมด จะได้ มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น ยกตัวอย่างเช่น มี สินทรัพย์ 300 บาท หนี้สิน 100 บาท เท่ากับว่ามีมูลค่าทางบัญชี 200 บาท หากมีหุ้นจำนวน 200 หุ้น ดังนั้น มูลค่าทางบัญชีคือหุ้นละ 1 บาท หากอนาคตมีการเพิ่มทุน 100 หุ้น ในราคาหุ้นละ 0.5 บาท (อันนี้มักเป็นเจ้าของต้องการหุ้นเพิ่ม โดยไม่สนใจรายย่อย โดยเพิ่มที่ราคาต่ำกว่า book value) บริษัทจะได้เงินเพิ่มเพียง 50 บาท แต่จะมีหุ้นเพิ่มอีก 100 หุ้น ในกรณีนี้ มูลค่าทางบัญชีของบริษัทจะรวมทั้งหมด 250 บาท แต่จะมีหุ้นเป็นจำนวน 300 หุ้น มูลค่าทางบัญชีจะอยู่ที่ 0.84 (250/300) บาทต่อหุ้น
ส่วนราคาตลาด อาจะขึ้นไป 2 บาท ก็ได้ เพราะคนคาดหวังว่ากำไรมันจะดี หรืออาจจะเหลือ 0.5 บาทก็ได้ ถ้าคนคิดว่ามันจะเจ๊ง ซึ่งราคาตรงนี้มันเคลื่อนไหวตลอดเวลา
ดังนั้น จึงเกิดตัวเลขตัวหนึ่งที่นิยมใช้กันมาก คือ P/B ratio คือ เอาราคาตลาด มาหารกับมูลค่าทางบัญชีของหุ้น หุ้นบางตัวขายที่ราคา 60 บาท แต่มีมูลค่าทางบัญชีเพียง 6 บาท ดังนั้น P/B ratio จึงเป็น 10 เท่า ถ้าวันนี้เลิกกิจการ เราจะได้เงินคืนแค่ 6 บาท จากเงินลงทุนทั้งหมด 60 บาท หรือ 10% เท่านั้น แต่หุ้นบางตัว ราคาตลาด 1.2 บาท แต่มูลค่าทางบัญชี 2.4 บาท จะคิด P/B ratio ได้ที่ 0.5 เท่า หมายความว่า ขายกิจการตอนนี้ จะได้เงินคืนเป็น 2 เท่า
ปัญหาคือ มันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ คำตอบคือต้องระมัดระวัง นั่นเพราะสินทรัพย์หรืองบการเงินที่เปิดเผย ประเด็นที่ต้องพิจารณา คือ มูลค่าของสินทรัพย์มีอยู่จริงหรือไม่ เชื่อถือได้หรือไม่ ดังนั้นจึงต้องไปดูผู้สอบบัญชีว่าเป็นใคร และไอ้สินทรัพย์ที่ประกอบกันเป็นมูลค่ามีอะไรบ้าง
คิดง่ายๆ ตอนเรากินข้าวมันไก่ ราคา 30 บาท เราอาจจะคิดว่า 30 บาทที่ขายนี้ แบ่งออกเป็นข้าว 10 บาท ไก่ 10 ชิ้น 15 บาท น้ำจิ้ม 5 บาท อะไรแบบนี้ หรือมีไก่เพียง 3 ชิ้น แล้วบอกว่าราคา 15 บาท รึเปล่า หรือผัดไทย 25 บาท จานใหญ่จริง แต่มีแต่เส้น รึเปล่า
ในงบการเงินสิ่งที่ควรต้องดูอย่างแรกเลยคือเงินสด ถ้าเงินสดเยอะ หนี้น้อย โอกาสเจ๊งยากมาก (แต่ไม่เสมอไปนะ) บางบริษัทบันทึกราคาเป็นพวกโรงงานหรือสินค่าคงคลังซะเยอะ อันนี้ต้องมาตีความ ว่ามันเสื่อมราคาไปหมดรึยัง ยกตัวอย่าง พวกอิเลคโทรนิกส์ สินค้าคงคลังมากๆ มันอาจจะล้าสมัยได้ การบันทึกราคาอาจไม่ถูกต้อง (สูงกว่าความเป็นจริง) หรือว่าพวกอสังหาริมทรัพย์ บางบริษัทมีสินค้าคงคลัง (พวกบ้าน คอนโด) 5,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ทั้งปีที่ผ่านมา ขายได้เพียง 2,500 ล้านบาท แสดงว่าไม่ต้องสร้างเพิ่มก็ยังมีขายได้ถึง 2 ปีรึเปล่า หรือว่าเป็นพวกที่ขายไม่ออก ปูนกำลังกะเทาะ หนี้กำลังท่วมรึเปล่า
ดังนั้น หากงบการเงินมีเงินสดเยอะๆ แสดงว่ามันมีเนื้อเยอะ เราก็จะอยู่ในจุดไม่เสี่ยงหรือเสี่ยงน้อย ถ้ามันเป็นสินทรัพย์อื่นๆ บางทีอาจจะบันทึกแบบฉ้อฉลเพื่อหลอกเรา อันนี้ก็ต้องระวัง..
ดังนั้น ถ้าได้กิจการที่สินทรัพย์สูงๆ แล้วเราซื้อได้ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี อันนี้เราจะมีความปลอดภัยกว่าซื้อตัวที่ราคาสูงกว่ามูลค่าทางบัญชี สิ่งนี้เค้าเรียกกันว่า Margin of safety
จากทฤษฏีของตัวเองที่ได้ทำการสรุปไว้ P/B ratio ที่ 0.5 จะวิ่งขึ้นทุกตัว แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เท่านั้นเอง (แต่ต้อง 0.5 จริงๆนะ ไม่ใช่มีตกแต่งบัญชีเอาไว้ หรือเป็นพวกกิจการที่มุ่งไซ่ฟ่อนเงินออกไป)
ทีนี้เราก็จบส่วนที่ 1 แล้ว เราได้รู้แล้วว่าอะไรถูกแพง คัมรี่วีออสราคาเท่าไหร่ เราพอจะประเมินเป็นแล้ว
ตลาดหุ้นไทยเป็นพวกชอบเล่นเวฟ หุ้นบางตัวกำไรดีทุกปี แต่ราคา วิ่งเป็นวงจร จาก 2 บาทไป 8 บาท แล้วกลับมา 3 บาท และไป 9 บาท 4-5 ปี วนครบรอบ 1 ครั้ง อาศัยว่าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก เลยฉวยโอกาสทุบหุ้นตัวเอง บางบริษัททำขนาดว่าโยกกำไรปีนี้ออกไปให้หมด แล้วไปบันทึกปีหน้า อันนี้ก็มี (มุขที่ใช้บ่อยๆ คือการกันสำรองหนี้สูญ พอปีต่อมา ก็เอากำไรมาโชว์ แล้วบอกว่าเป็นหนี้สูญโอนกลับ) เค้าทำเพื่ออะไร..
คำตอบคือ ทำกิจการได้ส่วนแบ่งปีนึง 100 – 200 ล้าน ปั่นหุ้นทุบหุ้นที ได้ 500 ล้าน ถือเป็นโบนัส 4-5 ปี อาจจะเอาซักครั้ง หุ้นส่วนใหญ่เป็นงี้หมด ลากราคาจน P/B ratio อาจจะสูงถึง 2-3 เท่า หรือถ้าเว่อร์ๆ ก็ 10 เท่า แล้วก็ปล่อยหุ้นออกมาจนหมด (เหลือไว้เฉพาะ 50% เอาไว้คุมกิจการ) จากนั้นก็ปล่อยหุ้นซึมลงๆ จาก P/B ratio 10 เท่า อาจจะเหลือ 0.5 เท่า หุ้นบางตัว จาก 10 บาท อาจจะเหลือ 0.5 บาท แต่อาจจะใช้เวลา 3-4 ปี อันนี้ก็เป็นไปได้
ดังนั้นสิ่งที่เราควรจะดูเป็นอย่างยิ่งก่อนซื้อหุ้นก็ คือ ถ้าเราเจ๊ง (ซื้อแล้วราคาลง) เจ้าของกิจการจะเจ๊งไปกับเราไม๊ เช่นเราซื้อหุ้น 1 ล้านบาท ซื้อ ราคาหุ้นละ 1 บาท ได้มา 1 ล้านหุ้น แต่เรารู้ว่าเจ้าของถืออยู่ 500 ล้านหุ้น อันนี้ ถ้าเราเจ๊ง มันก็เจ๊งมากกว่าเรา 500 เท่า แบบนี้ค่อยโอเค เค้าเรียกว่า หลักผลประโยชน์ หรืออาจะกล่าวได้ว่าเรากำลังประเมินส่วนได้เสีย มันจะไม่ยอมปล่อยให้หุ้นราคาลงมามาก แต่จะเสมอไปไม๊ ก็ไม่แน่..
นั่นเพราะเราอาจจะไปซื้อตอนเค้าทุบกดหุ้นอยู่ คือเค้ากำลังสะสม ราคากำลังร่วง แล้วเราไปซื้อกลางทางเราอาจจะบอกว่า P/B ratio 0.5 เท่าแล้ว ถูกมาก แต่มันอาจจะลงไป P/B ratio ที่ 0.2 เท่าก็ได้ ก่อนที่มันจะผงกหัวขึ้นมา เค้าเรียกว่าวิธีการถูก แต่เวลาไม่เหมาะสม..
แล้วถ้าเราไปซื้อที่ P/B ratio 0.5 เท่าล่ะ ติดแหง็กอยู่ จะรอดไม๊.. ถ้าคิดตามหลักของเหตุผล ถ้าบริษัทจะเจ๊ง แล้วเจ้าของหุ้นถืออยู่เยอะ เค้าต้องฉวยโอกาสปล่อยออกมา และ 100 ทั้ง 100 ก็คงต้องลากราคาให้สูงกว่า book value เพราะสมมติว่าของราคา 3 บาท จะขายต่ำกว่า 3 บาททำไม เต็มที่ก็ลดให้ แบบว่าจวนตัวแล้ว อาจจะขายที่ 2.5 บาท แต่ยังงัยมันต้องมีจังหวะปล่อยของ แล้วเราก็ต้องชายตามมันไป
ทีนี้ คงสงสัยแล้วว่า แล้วจะรู้ได้ไงว่าเจ้าของถืออยู่เท่าไหร่ สัดส่วนเยอะไม๊ ถือที่ต้นทุนเท่าไหร่
บอกได้เลยว่า ต้นทุนเจ้าของเท่าไหร่ ไม่ต้องไปพยายามหา ไม่มีทางเจอ เพราะเค้าทำกิจการจนเอาเข้าตลาดมาได้ เค้าคืนทุนมากี่เท่าแล้วไม่รู้ หาได้เต็มที่ คือเค้าถืออยู่เท่าไหร่ เท่านั้นแหละ..
ในเวป www.set.or.th จะมีอยู่หน้าหนึ่ง ที่เป็นข้อมูลผู้ถือหุ้น ไปกดดูได้ ว่าเจ้าของถืออยู่เท่าไหร่ ถ้าเกิน 70% วางใจได้ว่าราคาจะวิ่งแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่ถ้าผู้ถือหุ้นใหญ่ถือเพียง 12% อันนี้ก็เตรียมตัวโดนทุบได้เลย เพราะในปีที่แล้วเค้าอาจจะถือ 40% มาปีนี้ขายออกหมด เค้าก็มี 2 ทางเลือก คือ 1. เลิกบริหาร 2.บริหารต่อไป คือรอช้อนหุ้นราคาถูก ก็เท่านั้น เวลาดูเอกสาร ช่วยดูวันที่มันอัพเดทด้วย ว่ามันอัพเดทสมุดผู้ถือหุ้นเมื่อไหร่ เพราะมันจะปิดสมุดทุกครั้งที่มีประชุมมีปันผล หรือเพิ่มทุน ดังนั้น ข้อมูลที่มีมันอาจจะล้าสมัย ต้องรอจนกว่ามันจะมีประชุมอีกครั้ง มันจะได้อัพเดท เพื่อความแน่นอน
จากหลักผลประโยชน์ ถ้าเราเอามาประยุกต์ใช้ ก็เช่นว่า หุ้นตัวนึง มูลค่าทางบัญชี 3 บาท อยู่ดีๆ ราคาขึ้นจาก1.5 บาท ไป 5 บาท พร้อมมูลค่าการซื้อขายที่สูง เราอาจรู้ได้ว่าหุ้นมันโดนปั่นราคา (ซึ่งก็ชัวร์) วอลุ่มที่มาก เราก็จะรู้ว่าเค้าเอาหุ้นยัดในมือรายย่อยไปหมดแล้ว แล้วตอนนี้ ผ่านมาจากวันที่มันปั่นราคา มาได้ 2 ปีแล้ว ราคาหุ้นก็ร่วงลงมาเรื่อยๆ เหลือ 2 บาท ในเดือนที่แล้ว ขณะที่ราคากำลังลงจาก 3 บาท ไป 2 บาท ปิดสมุดผู้ถือหุ้นพบว่ารายใหญ่ถืออยู่ 70% แสดงว่า ถ้าเราซื้อตอนนี้ น่าจะได้ราคาถูกกว่าที่เค้าเก็บๆ มากันอยู่ ถ้าซื้อตอนนี้ 1.9 บาท น่าจะเป็นจุดที่ได้เปรียบ อย่างน้อยก็ได้ต้นทุนต่ำกว่าที่เค้าเก็บๆ กันมา ตำแหน่งเราดีกว่า ตรงนี้ต้องอ่านหลายรอบให้เข้าใจนะ...
ปัญหาที่จะต้องพิจารณาตามมา ก็คือ แล้วมันจะลงต่อไม๊ หุ้นบางตัวมูลค่าทางบัญชี 3 บาท ลงมา 1.5 บาท บางคนว่าถูกก็ซื้อไป มันลงมา 1.2 บาท คนว่าถูกก็ซื้อไป ซื้อกัน จนมันร่วงถึง 0.8 บาท แล้วมันถึงขึ้น ปัญหานี้เราจะแก้ยังงัยซึ่งในมุมกลับ เราก็จะเจอปัญหาตอนที่หุ้นมันขึ้นไปแล้วว่า จาก 0.8 ขึ้นไป 1.5 บาท พอขาย มันดันขึ้นไป 2.5 บาท หรือสุดท้าย มันไปนิ่งที่ 4 บาท ทั้งสองกรณี กรณีแรก เราซื้อแพงกว่าที่ควรได้ กรณีที่ 2 เราขายถูกกว่าที่ควรเป็น เราจะทำยังงัย
โดยส่วนตัวใช้กราฟเข้ามาช่วย โดยเอาเส้นค่าเฉลี่ยมาตัดกัน ขอก๊อปจากเมล์ฉบับที่ 1 มาแล้วกัน ขี้เกียจพิมพ์
การใช้ moving average crossover เอามาช่วยจับจังหวะการซื้อขาย จากการพิสูจน์โดยการใช้จริง 6 ครั้ง (ไม่ใช่โฆษณาผงซักฟอกนะ) ประสบผลสำเร็จทั้ง 6 ครั้ง ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน รู้แต่ว่าเป็นค่าทางสถิติที่มีโอกาสสำเร็จที่ 90% เสมอตัว 5% และขาดทุนนิดหน่อย อีก 5% การประยุกต์ใช้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ปัจจุบันมีรายละเอียดการใช้ที่ได้พัฒนาเพิ่มเติม ดังนี้
1) เส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน ตัดเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน ใช้ในการดูจังหวะซื้อ สำหรับภาวะตลาดที่อยู่ในช่วงขาลงชัดเจน จะช่วยให้รอดพ้นจากการเข้าซื้อตอนที่หุ้น rebound แล้วลงต่อ
2) เส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน ตัดเส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน ใช้สำหรับรอซื้อหรือขายหุ้นขนาดใหญ่ ที่เชื่อได้ว่ามีคนควบคุมได้น้อย
3) เส้นค่าเฉลี่ย 4 วัน ตัดเส้นค่าเฉลี่ย 15 วัน ใช้สำหรับหาจังหวะซื้อหรือรอขาย หุ้นตัวเล็กที่ขึ้นแบบพอจะมีเหตุผลหรืออะไรก็ตาม ที่พอจะเชื่อได้ว่าหุ้นจะดีขึ้นแบบมีนัยสำคัญ
4) เส้นค่าเฉลี่ย 3 วัน ตัดเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน ใช้สำหรับขาย (เท่านั้น) หุ้นที่ขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล หรือหุ้นที่ขึ้นมาโดยข่าวลือต่างๆ นาๆ
คือ เส้นมันจะตัดกันได้ ก็ต่อเมื่อ เส้นเล็ก (เฉลี่ย 3-5 วัน) มันวิ่งขึ้นลงมาโดนเส้นใหญ่ (10-25 วัน) หรือเส้นใหญ่ ที่มันขึ้นลงช้ากว่ามันทันเส้นเล็ก ในความเป็นจริง มันคือยังงี้นะ ในวันที่หุ้นราคาขึ้นสูงแล้ว เจ้าของต้องการปล่อยหุ้นออก เค้าจะต้องเลี้ยงราคา เค้าลากไม่ไหว ก็ต้องปล่อยตรงนั้น ราคาที่สูง มันจะนิ่งๆ เส้นเล็กใหญ่จะตัดกันไปมา เรียกว่า ไซด์เวย์ (side way) คือไม่มีทิศทาง หากจุดนี้มีวอลุ่มหนา ชัวร์ว่าปล่อยหุ้นออกมาแล้ว เน้นว่ากรุณาดูวอลุ่ม คนจะขายของ เค้าต้องมีข่าวหรืออะไรดีๆ มาให้คนที่ไม่รู้มั่นใจว่ามันจะไปต่อได้ แห่กันเข้ามาซื้อหุ้น (เป็นที่มาของคำว่า มีข่าวดีให้ขาย) อันนี้จำไว้ใช้เป็นจังหวะขายนะ ก่อนจะมีกราฟนี้มาช่วย ขายให้เค้าถูกๆ ไปเยอะ บางตัวก็รู้ว่ามันไป 25 บาทได้ เราไม่มั่นใจ ซื้อมา 9 บาท พอ 13 บาท ขายไปซะงั้น ตอนหลังพอรู้จักกราฟ กราฟบอกให้ไปขายที่ 20 บาท อันนี้ก็ว่ากันไป
ในทางเดียวกัน เวลาหุ้นลง มันจะมีเวลาสะสมหุ้น คือรายใหญ่จะกดราคาหุ้นจนลงมาได้ถึงในระดับหนึ่ง พอถึงจุดราคาหนึ่ง คนเห็นว่าถูกมากแล้ว เค้าจะทุบไม่ลง ต้องจำใจเก็บในราคานั้น ราคาจะเรียดไปในระดับต่ำ จะเส้นใหญ่มาชนเส้นเล็กในที่สุด
เพื่อให้เห็นภาพ เอารูปมาให้ดูเลย.. คือหุ้น PTTCH ซึ่งเป็นหุ้นมหาชน จะใช้กราฟ เส้นแดง 5 วัน เส้นชมพู 25 วัน เนื่องจากเป็นขาลงชัดเจน ยิ่งใช้ค่าเฉลี่ยจำนวนวันเยอะ มันจะยิ่งขัวร์ แต่มันจะตามภาวะตลาดที่รวดเร็วของหุ้นตัวเล็กไม่ทัน..
(ถึงตรงนี้ให้ดูรูปประกอบนะ)
จะสังเกตว่าหลังจากเกิดวิกฤต ซับไพร์ม ราคาที่เคยสูงถึง 120 บาท ในปี 2008 ลงมาเหลือต่ำสุด 25 บาท ในปี 2009 ตอนนั้น P/B อยู่ที่ 0.25 เท่า แต่ไม่มีคนซื้อ เพราะคนอาจจะเจ๊งกันหมดทั้งโลก กราฟแดง มันมาตัดขึ้นตอน 32 บาท และมันตัดลงให้ขายจริงๆ ใน 2 ปี ต่อมา ที่ราคา 145 บาท ในปี 2011 อาจจะถือยาวหน่อย แต่กำไรประมาณ 4 เท่า น่าจะพอคุ้มอยู่นะ.. (สังเกตดูตอนหลังจากที่ขึ้นไปถึง 160 บาท เห็นวอลุ่มข้างล่างที่โดดมาไม๊ เดาว่ารายใหญ่มากๆ ปล่อยของออกมาแล้วบางส่วน)
อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ทั้งหมด อาจจะผิดทางก็ได้ ดังนั้นกรุณา ตั้งจุดตัดขาดทุน (cut loss) ทุกครั้ง และทำตามอย่างเคร่งครัดด้วย (อาจจะ 5-10%) ในบรรดาที่พิมพ์มาทั้งหมด คัทลอสสำคัญที่สุด..
กล่าวโดยสรุปคือ มีหลักการสำคัญ 4 ข้อ
1. ซื้อหุ้นในราคาที่มีส่วนลด
2. ดูด้วยว่ามีเจ้าของมาร่วมหัวจมท้ายกับเราไม๊
3. ใช้กราฟช่วยในจังหวะซื้อขาย
4. คัทลอส (สำคัญที่สุด)
ช่วยเข้าไปกด Like ด้วยนะครับ
Credit: https://www.facebook.com/pages/มีความสุขกับหุ้นปันผล-by-หมีส้ม
บทความวันที่ 15 เมษายน 2553 เวลา 1.18 น.
ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณที่ติดตามอ่านเพจหมีส้ม เนื่องจากแฟนเพจล้นหลามมาก ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะมีคนติดตามอ่านมาขนาดนี้ และก็ไม่รู้ว่าจะเลิกเขียนเมื่อไหร่ (เพราะไม่ค่อยมีความรู้ เขียนๆไปกลัวปล่อยไก่) แต่ก็เห็นว่ามีคนเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราได้ทำ ก็เลยมอบเอกสารให้ชุดหนึ่งที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุดตั้งแต่เขียนมา เป็นเอกสารที่เขียนตอนที่ป่วยหนักเมื่อหลายปีก่อน (แล้วก็คิดว่าอาจจะไม่รอด) ก็เลยลุกขึ้นมาพิมพ์เอกสารไว้ให้เพื่อนสนิท 4-5 คนได้เก็บไว้ใช้หากินในอนาคต วันนี้เลยเอามาเผยแพร่ให้ทุกคน..
อย่างไรก็ตาม แนวทางอันนี้ เป็นแนวทางที่ไม่ได้ลงทุนในหุ้นปันผล (ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของหมีส้ม 55) แต่เป็นแนวทางที่ค่อนข้างปลอดภัยในการลงทุน อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่อ่าน ให้นำไปไตร่ตรองและปรับใช้กันนะครับ เงินของท่าน เจ๊งของท่านครับ.. พร้อมกันนี้ก็ขอขอบพระคุณที่ติดตามอ่านเพจหมีส้มนะครับ..
วันนี้วันที่ 14 มีนาคม 2554 เวลา 2.12น. รู้สึกไม่สบายเยอะ กลัวจะหลับแล้วไม่ตื่น (ล้อเล่น) เลยพิมพ์เอกสารไว้ก่อน ตั้งใจจะพิมพ์เอาให้อ่านง่ายๆ สำหรับคนที่เพิ่งจะศึกษาเรื่องหุ้น ฝากแก๊ปอธิบายเพื่อนคนอื่นๆด้วย ข้อมูลการวิเคราะห์ทั้งหมด หาได้ในเวป www.set.or.th
ลงทุนในหุ้นก็เหมือนขายของ คือซื้อมาขายไป ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่าจะซื้อขายอะไร แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าซื้อมาเท่าไหร่ และสมเหตุสมผลหรือไม่ ยกตัวอย่างว่าเราซื้อรถซักคัน ไม่รู้ว่าคัมรี่หรือวีออส ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าจะซื้อคัมรี่หรือวีออส ปัญหามันอยู่ที่ว่าซื้อราคาเท่าไหร่ ถ้าคัมรี่ ขายที่ 4 ล้าน กับวีออส ขายที่ 1.5 แสนบาท ทั้งๆที่ป้ายแดงเหมือนกัน แม้คัมรี่จะดีกว่า แต่มันควรซื้อรึเปล่า เท่านั้นเอง
จากประวัติศาสตร์การเจ๊งหุ้นของคนทั่วไป (รวมทั้งของตัวเอง) อาจกล่าวได้ว่า ซื้อหุ้นจากความไม่สมเหตุสมผล สุดท้ายไม่น่ารอด หรือถ้ารอดก็คือโชคดี ดังนั้นเราต้องมีความคิดไปในทางวิทยาศาสตร์ คืออยู่ด้วยเหตุและผล จึงจะอยู่รอดได้ในตลาดหุ้น
จากเรื่องรถเมื่อกี้นี้ บางคนสงสัย เอ๊ะมันจะรู้ได้เหรอว่าหุ้นราคาเท่าไหร่ มูลค่าที่แท้จริงเท่าไหร่ คำตอบคือ รู้ได้ แต่ต้องระมัดระวัง... ราคาของหุ้นที่เคลื่อนไหวทุกวัน เค้าเรียกว่าราคาตลาด หรือ market price ส่วนราคาที่แท้จริงของหุ้น ก็คือ มูลค่าทางบัญชี เค้าเรียกว่า book value
มูลค่าทางบัญชี คือ เอาส่วนของผู้ถือหุ้น (สินทรัพย์ – หนี้สิน) มาหารจำนวนหุ้นทั้งหมด จะได้ มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น ยกตัวอย่างเช่น มี สินทรัพย์ 300 บาท หนี้สิน 100 บาท เท่ากับว่ามีมูลค่าทางบัญชี 200 บาท หากมีหุ้นจำนวน 200 หุ้น ดังนั้น มูลค่าทางบัญชีคือหุ้นละ 1 บาท หากอนาคตมีการเพิ่มทุน 100 หุ้น ในราคาหุ้นละ 0.5 บาท (อันนี้มักเป็นเจ้าของต้องการหุ้นเพิ่ม โดยไม่สนใจรายย่อย โดยเพิ่มที่ราคาต่ำกว่า book value) บริษัทจะได้เงินเพิ่มเพียง 50 บาท แต่จะมีหุ้นเพิ่มอีก 100 หุ้น ในกรณีนี้ มูลค่าทางบัญชีของบริษัทจะรวมทั้งหมด 250 บาท แต่จะมีหุ้นเป็นจำนวน 300 หุ้น มูลค่าทางบัญชีจะอยู่ที่ 0.84 (250/300) บาทต่อหุ้น
ส่วนราคาตลาด อาจะขึ้นไป 2 บาท ก็ได้ เพราะคนคาดหวังว่ากำไรมันจะดี หรืออาจจะเหลือ 0.5 บาทก็ได้ ถ้าคนคิดว่ามันจะเจ๊ง ซึ่งราคาตรงนี้มันเคลื่อนไหวตลอดเวลา
ดังนั้น จึงเกิดตัวเลขตัวหนึ่งที่นิยมใช้กันมาก คือ P/B ratio คือ เอาราคาตลาด มาหารกับมูลค่าทางบัญชีของหุ้น หุ้นบางตัวขายที่ราคา 60 บาท แต่มีมูลค่าทางบัญชีเพียง 6 บาท ดังนั้น P/B ratio จึงเป็น 10 เท่า ถ้าวันนี้เลิกกิจการ เราจะได้เงินคืนแค่ 6 บาท จากเงินลงทุนทั้งหมด 60 บาท หรือ 10% เท่านั้น แต่หุ้นบางตัว ราคาตลาด 1.2 บาท แต่มูลค่าทางบัญชี 2.4 บาท จะคิด P/B ratio ได้ที่ 0.5 เท่า หมายความว่า ขายกิจการตอนนี้ จะได้เงินคืนเป็น 2 เท่า
ปัญหาคือ มันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ คำตอบคือต้องระมัดระวัง นั่นเพราะสินทรัพย์หรืองบการเงินที่เปิดเผย ประเด็นที่ต้องพิจารณา คือ มูลค่าของสินทรัพย์มีอยู่จริงหรือไม่ เชื่อถือได้หรือไม่ ดังนั้นจึงต้องไปดูผู้สอบบัญชีว่าเป็นใคร และไอ้สินทรัพย์ที่ประกอบกันเป็นมูลค่ามีอะไรบ้าง
คิดง่ายๆ ตอนเรากินข้าวมันไก่ ราคา 30 บาท เราอาจจะคิดว่า 30 บาทที่ขายนี้ แบ่งออกเป็นข้าว 10 บาท ไก่ 10 ชิ้น 15 บาท น้ำจิ้ม 5 บาท อะไรแบบนี้ หรือมีไก่เพียง 3 ชิ้น แล้วบอกว่าราคา 15 บาท รึเปล่า หรือผัดไทย 25 บาท จานใหญ่จริง แต่มีแต่เส้น รึเปล่า
ในงบการเงินสิ่งที่ควรต้องดูอย่างแรกเลยคือเงินสด ถ้าเงินสดเยอะ หนี้น้อย โอกาสเจ๊งยากมาก (แต่ไม่เสมอไปนะ) บางบริษัทบันทึกราคาเป็นพวกโรงงานหรือสินค่าคงคลังซะเยอะ อันนี้ต้องมาตีความ ว่ามันเสื่อมราคาไปหมดรึยัง ยกตัวอย่าง พวกอิเลคโทรนิกส์ สินค้าคงคลังมากๆ มันอาจจะล้าสมัยได้ การบันทึกราคาอาจไม่ถูกต้อง (สูงกว่าความเป็นจริง) หรือว่าพวกอสังหาริมทรัพย์ บางบริษัทมีสินค้าคงคลัง (พวกบ้าน คอนโด) 5,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ทั้งปีที่ผ่านมา ขายได้เพียง 2,500 ล้านบาท แสดงว่าไม่ต้องสร้างเพิ่มก็ยังมีขายได้ถึง 2 ปีรึเปล่า หรือว่าเป็นพวกที่ขายไม่ออก ปูนกำลังกะเทาะ หนี้กำลังท่วมรึเปล่า
ดังนั้น หากงบการเงินมีเงินสดเยอะๆ แสดงว่ามันมีเนื้อเยอะ เราก็จะอยู่ในจุดไม่เสี่ยงหรือเสี่ยงน้อย ถ้ามันเป็นสินทรัพย์อื่นๆ บางทีอาจจะบันทึกแบบฉ้อฉลเพื่อหลอกเรา อันนี้ก็ต้องระวัง..
ดังนั้น ถ้าได้กิจการที่สินทรัพย์สูงๆ แล้วเราซื้อได้ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี อันนี้เราจะมีความปลอดภัยกว่าซื้อตัวที่ราคาสูงกว่ามูลค่าทางบัญชี สิ่งนี้เค้าเรียกกันว่า Margin of safety
จากทฤษฏีของตัวเองที่ได้ทำการสรุปไว้ P/B ratio ที่ 0.5 จะวิ่งขึ้นทุกตัว แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เท่านั้นเอง (แต่ต้อง 0.5 จริงๆนะ ไม่ใช่มีตกแต่งบัญชีเอาไว้ หรือเป็นพวกกิจการที่มุ่งไซ่ฟ่อนเงินออกไป)
ทีนี้เราก็จบส่วนที่ 1 แล้ว เราได้รู้แล้วว่าอะไรถูกแพง คัมรี่วีออสราคาเท่าไหร่ เราพอจะประเมินเป็นแล้ว
ตลาดหุ้นไทยเป็นพวกชอบเล่นเวฟ หุ้นบางตัวกำไรดีทุกปี แต่ราคา วิ่งเป็นวงจร จาก 2 บาทไป 8 บาท แล้วกลับมา 3 บาท และไป 9 บาท 4-5 ปี วนครบรอบ 1 ครั้ง อาศัยว่าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก เลยฉวยโอกาสทุบหุ้นตัวเอง บางบริษัททำขนาดว่าโยกกำไรปีนี้ออกไปให้หมด แล้วไปบันทึกปีหน้า อันนี้ก็มี (มุขที่ใช้บ่อยๆ คือการกันสำรองหนี้สูญ พอปีต่อมา ก็เอากำไรมาโชว์ แล้วบอกว่าเป็นหนี้สูญโอนกลับ) เค้าทำเพื่ออะไร..
คำตอบคือ ทำกิจการได้ส่วนแบ่งปีนึง 100 – 200 ล้าน ปั่นหุ้นทุบหุ้นที ได้ 500 ล้าน ถือเป็นโบนัส 4-5 ปี อาจจะเอาซักครั้ง หุ้นส่วนใหญ่เป็นงี้หมด ลากราคาจน P/B ratio อาจจะสูงถึง 2-3 เท่า หรือถ้าเว่อร์ๆ ก็ 10 เท่า แล้วก็ปล่อยหุ้นออกมาจนหมด (เหลือไว้เฉพาะ 50% เอาไว้คุมกิจการ) จากนั้นก็ปล่อยหุ้นซึมลงๆ จาก P/B ratio 10 เท่า อาจจะเหลือ 0.5 เท่า หุ้นบางตัว จาก 10 บาท อาจจะเหลือ 0.5 บาท แต่อาจจะใช้เวลา 3-4 ปี อันนี้ก็เป็นไปได้
ดังนั้นสิ่งที่เราควรจะดูเป็นอย่างยิ่งก่อนซื้อหุ้นก็ คือ ถ้าเราเจ๊ง (ซื้อแล้วราคาลง) เจ้าของกิจการจะเจ๊งไปกับเราไม๊ เช่นเราซื้อหุ้น 1 ล้านบาท ซื้อ ราคาหุ้นละ 1 บาท ได้มา 1 ล้านหุ้น แต่เรารู้ว่าเจ้าของถืออยู่ 500 ล้านหุ้น อันนี้ ถ้าเราเจ๊ง มันก็เจ๊งมากกว่าเรา 500 เท่า แบบนี้ค่อยโอเค เค้าเรียกว่า หลักผลประโยชน์ หรืออาจะกล่าวได้ว่าเรากำลังประเมินส่วนได้เสีย มันจะไม่ยอมปล่อยให้หุ้นราคาลงมามาก แต่จะเสมอไปไม๊ ก็ไม่แน่..
นั่นเพราะเราอาจจะไปซื้อตอนเค้าทุบกดหุ้นอยู่ คือเค้ากำลังสะสม ราคากำลังร่วง แล้วเราไปซื้อกลางทางเราอาจจะบอกว่า P/B ratio 0.5 เท่าแล้ว ถูกมาก แต่มันอาจจะลงไป P/B ratio ที่ 0.2 เท่าก็ได้ ก่อนที่มันจะผงกหัวขึ้นมา เค้าเรียกว่าวิธีการถูก แต่เวลาไม่เหมาะสม..
แล้วถ้าเราไปซื้อที่ P/B ratio 0.5 เท่าล่ะ ติดแหง็กอยู่ จะรอดไม๊.. ถ้าคิดตามหลักของเหตุผล ถ้าบริษัทจะเจ๊ง แล้วเจ้าของหุ้นถืออยู่เยอะ เค้าต้องฉวยโอกาสปล่อยออกมา และ 100 ทั้ง 100 ก็คงต้องลากราคาให้สูงกว่า book value เพราะสมมติว่าของราคา 3 บาท จะขายต่ำกว่า 3 บาททำไม เต็มที่ก็ลดให้ แบบว่าจวนตัวแล้ว อาจจะขายที่ 2.5 บาท แต่ยังงัยมันต้องมีจังหวะปล่อยของ แล้วเราก็ต้องชายตามมันไป
ทีนี้ คงสงสัยแล้วว่า แล้วจะรู้ได้ไงว่าเจ้าของถืออยู่เท่าไหร่ สัดส่วนเยอะไม๊ ถือที่ต้นทุนเท่าไหร่
บอกได้เลยว่า ต้นทุนเจ้าของเท่าไหร่ ไม่ต้องไปพยายามหา ไม่มีทางเจอ เพราะเค้าทำกิจการจนเอาเข้าตลาดมาได้ เค้าคืนทุนมากี่เท่าแล้วไม่รู้ หาได้เต็มที่ คือเค้าถืออยู่เท่าไหร่ เท่านั้นแหละ..
ในเวป www.set.or.th จะมีอยู่หน้าหนึ่ง ที่เป็นข้อมูลผู้ถือหุ้น ไปกดดูได้ ว่าเจ้าของถืออยู่เท่าไหร่ ถ้าเกิน 70% วางใจได้ว่าราคาจะวิ่งแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่ถ้าผู้ถือหุ้นใหญ่ถือเพียง 12% อันนี้ก็เตรียมตัวโดนทุบได้เลย เพราะในปีที่แล้วเค้าอาจจะถือ 40% มาปีนี้ขายออกหมด เค้าก็มี 2 ทางเลือก คือ 1. เลิกบริหาร 2.บริหารต่อไป คือรอช้อนหุ้นราคาถูก ก็เท่านั้น เวลาดูเอกสาร ช่วยดูวันที่มันอัพเดทด้วย ว่ามันอัพเดทสมุดผู้ถือหุ้นเมื่อไหร่ เพราะมันจะปิดสมุดทุกครั้งที่มีประชุมมีปันผล หรือเพิ่มทุน ดังนั้น ข้อมูลที่มีมันอาจจะล้าสมัย ต้องรอจนกว่ามันจะมีประชุมอีกครั้ง มันจะได้อัพเดท เพื่อความแน่นอน
จากหลักผลประโยชน์ ถ้าเราเอามาประยุกต์ใช้ ก็เช่นว่า หุ้นตัวนึง มูลค่าทางบัญชี 3 บาท อยู่ดีๆ ราคาขึ้นจาก1.5 บาท ไป 5 บาท พร้อมมูลค่าการซื้อขายที่สูง เราอาจรู้ได้ว่าหุ้นมันโดนปั่นราคา (ซึ่งก็ชัวร์) วอลุ่มที่มาก เราก็จะรู้ว่าเค้าเอาหุ้นยัดในมือรายย่อยไปหมดแล้ว แล้วตอนนี้ ผ่านมาจากวันที่มันปั่นราคา มาได้ 2 ปีแล้ว ราคาหุ้นก็ร่วงลงมาเรื่อยๆ เหลือ 2 บาท ในเดือนที่แล้ว ขณะที่ราคากำลังลงจาก 3 บาท ไป 2 บาท ปิดสมุดผู้ถือหุ้นพบว่ารายใหญ่ถืออยู่ 70% แสดงว่า ถ้าเราซื้อตอนนี้ น่าจะได้ราคาถูกกว่าที่เค้าเก็บๆ มากันอยู่ ถ้าซื้อตอนนี้ 1.9 บาท น่าจะเป็นจุดที่ได้เปรียบ อย่างน้อยก็ได้ต้นทุนต่ำกว่าที่เค้าเก็บๆ กันมา ตำแหน่งเราดีกว่า ตรงนี้ต้องอ่านหลายรอบให้เข้าใจนะ...
ปัญหาที่จะต้องพิจารณาตามมา ก็คือ แล้วมันจะลงต่อไม๊ หุ้นบางตัวมูลค่าทางบัญชี 3 บาท ลงมา 1.5 บาท บางคนว่าถูกก็ซื้อไป มันลงมา 1.2 บาท คนว่าถูกก็ซื้อไป ซื้อกัน จนมันร่วงถึง 0.8 บาท แล้วมันถึงขึ้น ปัญหานี้เราจะแก้ยังงัยซึ่งในมุมกลับ เราก็จะเจอปัญหาตอนที่หุ้นมันขึ้นไปแล้วว่า จาก 0.8 ขึ้นไป 1.5 บาท พอขาย มันดันขึ้นไป 2.5 บาท หรือสุดท้าย มันไปนิ่งที่ 4 บาท ทั้งสองกรณี กรณีแรก เราซื้อแพงกว่าที่ควรได้ กรณีที่ 2 เราขายถูกกว่าที่ควรเป็น เราจะทำยังงัย
โดยส่วนตัวใช้กราฟเข้ามาช่วย โดยเอาเส้นค่าเฉลี่ยมาตัดกัน ขอก๊อปจากเมล์ฉบับที่ 1 มาแล้วกัน ขี้เกียจพิมพ์
การใช้ moving average crossover เอามาช่วยจับจังหวะการซื้อขาย จากการพิสูจน์โดยการใช้จริง 6 ครั้ง (ไม่ใช่โฆษณาผงซักฟอกนะ) ประสบผลสำเร็จทั้ง 6 ครั้ง ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน รู้แต่ว่าเป็นค่าทางสถิติที่มีโอกาสสำเร็จที่ 90% เสมอตัว 5% และขาดทุนนิดหน่อย อีก 5% การประยุกต์ใช้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ปัจจุบันมีรายละเอียดการใช้ที่ได้พัฒนาเพิ่มเติม ดังนี้
1) เส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน ตัดเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน ใช้ในการดูจังหวะซื้อ สำหรับภาวะตลาดที่อยู่ในช่วงขาลงชัดเจน จะช่วยให้รอดพ้นจากการเข้าซื้อตอนที่หุ้น rebound แล้วลงต่อ
2) เส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน ตัดเส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน ใช้สำหรับรอซื้อหรือขายหุ้นขนาดใหญ่ ที่เชื่อได้ว่ามีคนควบคุมได้น้อย
3) เส้นค่าเฉลี่ย 4 วัน ตัดเส้นค่าเฉลี่ย 15 วัน ใช้สำหรับหาจังหวะซื้อหรือรอขาย หุ้นตัวเล็กที่ขึ้นแบบพอจะมีเหตุผลหรืออะไรก็ตาม ที่พอจะเชื่อได้ว่าหุ้นจะดีขึ้นแบบมีนัยสำคัญ
4) เส้นค่าเฉลี่ย 3 วัน ตัดเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน ใช้สำหรับขาย (เท่านั้น) หุ้นที่ขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล หรือหุ้นที่ขึ้นมาโดยข่าวลือต่างๆ นาๆ
คือ เส้นมันจะตัดกันได้ ก็ต่อเมื่อ เส้นเล็ก (เฉลี่ย 3-5 วัน) มันวิ่งขึ้นลงมาโดนเส้นใหญ่ (10-25 วัน) หรือเส้นใหญ่ ที่มันขึ้นลงช้ากว่ามันทันเส้นเล็ก ในความเป็นจริง มันคือยังงี้นะ ในวันที่หุ้นราคาขึ้นสูงแล้ว เจ้าของต้องการปล่อยหุ้นออก เค้าจะต้องเลี้ยงราคา เค้าลากไม่ไหว ก็ต้องปล่อยตรงนั้น ราคาที่สูง มันจะนิ่งๆ เส้นเล็กใหญ่จะตัดกันไปมา เรียกว่า ไซด์เวย์ (side way) คือไม่มีทิศทาง หากจุดนี้มีวอลุ่มหนา ชัวร์ว่าปล่อยหุ้นออกมาแล้ว เน้นว่ากรุณาดูวอลุ่ม คนจะขายของ เค้าต้องมีข่าวหรืออะไรดีๆ มาให้คนที่ไม่รู้มั่นใจว่ามันจะไปต่อได้ แห่กันเข้ามาซื้อหุ้น (เป็นที่มาของคำว่า มีข่าวดีให้ขาย) อันนี้จำไว้ใช้เป็นจังหวะขายนะ ก่อนจะมีกราฟนี้มาช่วย ขายให้เค้าถูกๆ ไปเยอะ บางตัวก็รู้ว่ามันไป 25 บาทได้ เราไม่มั่นใจ ซื้อมา 9 บาท พอ 13 บาท ขายไปซะงั้น ตอนหลังพอรู้จักกราฟ กราฟบอกให้ไปขายที่ 20 บาท อันนี้ก็ว่ากันไป
ในทางเดียวกัน เวลาหุ้นลง มันจะมีเวลาสะสมหุ้น คือรายใหญ่จะกดราคาหุ้นจนลงมาได้ถึงในระดับหนึ่ง พอถึงจุดราคาหนึ่ง คนเห็นว่าถูกมากแล้ว เค้าจะทุบไม่ลง ต้องจำใจเก็บในราคานั้น ราคาจะเรียดไปในระดับต่ำ จะเส้นใหญ่มาชนเส้นเล็กในที่สุด
เพื่อให้เห็นภาพ เอารูปมาให้ดูเลย.. คือหุ้น PTTCH ซึ่งเป็นหุ้นมหาชน จะใช้กราฟ เส้นแดง 5 วัน เส้นชมพู 25 วัน เนื่องจากเป็นขาลงชัดเจน ยิ่งใช้ค่าเฉลี่ยจำนวนวันเยอะ มันจะยิ่งขัวร์ แต่มันจะตามภาวะตลาดที่รวดเร็วของหุ้นตัวเล็กไม่ทัน..
(ถึงตรงนี้ให้ดูรูปประกอบนะ)
จะสังเกตว่าหลังจากเกิดวิกฤต ซับไพร์ม ราคาที่เคยสูงถึง 120 บาท ในปี 2008 ลงมาเหลือต่ำสุด 25 บาท ในปี 2009 ตอนนั้น P/B อยู่ที่ 0.25 เท่า แต่ไม่มีคนซื้อ เพราะคนอาจจะเจ๊งกันหมดทั้งโลก กราฟแดง มันมาตัดขึ้นตอน 32 บาท และมันตัดลงให้ขายจริงๆ ใน 2 ปี ต่อมา ที่ราคา 145 บาท ในปี 2011 อาจจะถือยาวหน่อย แต่กำไรประมาณ 4 เท่า น่าจะพอคุ้มอยู่นะ.. (สังเกตดูตอนหลังจากที่ขึ้นไปถึง 160 บาท เห็นวอลุ่มข้างล่างที่โดดมาไม๊ เดาว่ารายใหญ่มากๆ ปล่อยของออกมาแล้วบางส่วน)
อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ทั้งหมด อาจจะผิดทางก็ได้ ดังนั้นกรุณา ตั้งจุดตัดขาดทุน (cut loss) ทุกครั้ง และทำตามอย่างเคร่งครัดด้วย (อาจจะ 5-10%) ในบรรดาที่พิมพ์มาทั้งหมด คัทลอสสำคัญที่สุด..
กล่าวโดยสรุปคือ มีหลักการสำคัญ 4 ข้อ
1. ซื้อหุ้นในราคาที่มีส่วนลด
2. ดูด้วยว่ามีเจ้าของมาร่วมหัวจมท้ายกับเราไม๊
3. ใช้กราฟช่วยในจังหวะซื้อขาย
4. คัทลอส (สำคัญที่สุด)
No comments:
Post a Comment