เลือกหุ้นตัวแรกของชีวิตกันยังไงครับ ???
สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่แบบผม การเลือกหุ้นตัวแรกเข้าพอร์ท ผมใช้หลัก "มั่ว" ครับ เอาจากที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวันครับ มีทั้งกำไรและขาดทุน แต่พอสรุปแล้วทั้ง port ขาดทุน 20% ตามระเบียบครับ ก็คิดซะว่าเป็นค่าเล่าเรียนไป
จากนั้นผมก็ไล่ตามกด like พวกเพจหุ้นต่างๆ เข้าห้องสินธรไปขูดหุ้นทุกวัน (ดูจากเพื่อนๆสมาชิกเข้ามาถาม ก็ลอกๆตามกันไป) จนกระทั่งไปซื้อหนังสือ "เพาะหุ้นเป็นเห็นผลยั่งยืน" ของคุณกวี ชูกิจเกษม และ fan page มีความสุขกับหุ้นปันผล-by-หมีส้ม ก็พบแนวทางที่ใช่สำหรับผม
เนื่องจากหุ้นมีเยอะมาก 500 - 600 บริษัท ดังนั้นเราต้องทำการคัดกรองหุ้น (เมล็ดพันธุ์) ชั้นดี
ขั้นตอนที่ 1 by คุณหมีส้ม
ใช้ siamchart ช่วยคัดกรองหุ้นน่ะครับ โดยใส่ค่า PE < 20, PBV < 1, ROE > 15 ถ้าจะให้ดี ก็เพิ่ม D/E < 0.5 พอเจอตัวไหน แล้วค่อยมาดูทีละตัวครับ
ขั้นตอนที่ 2 by คุณกวี ชูกิจเกษม
วิเคราะห์หุ้นรายตัวจาก Financial ratio 10 ปีย้อนหลัง
1.Earning Per Share (EPS) สม่ำเสมอและเติบโต
2.Gross Profit Margin (GPM) เพิ่มขึ้นหรือคงที่ เพราะแสดงถึงความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่ง และหลีกเลี่ยงบริษัทที่มีอัตรากำไรขั้นต้นผันผวน หรือลดลงในระยะยาว
3.Selling and Administration Expense to Sales ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์สินค้า และหลีกเลี่ยงบริษัทที่มีอัตราดักล่าวเพิ่มขึ้นหรือมีความผันผวนสูง
4.Interest Expense to Earing before interest and Taxes (EBIT) ต่ำหรือไม่มีเลยและลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะนั่นจะนำมาซึ่งการแข่งขันในระยะยาว
5.Net Profit Margin เลือกลงทุนหุ้นของบริษัทที่มีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหากอัตราส่วนนี้มีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงผิดปกติ แต่สุดท้ายกลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังจากนั้น ให้ตั้งข้อสังเกตว่าเกิดจากกำไร/ขาดทุนจากรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว ไม่มีอะไรน่ากังวล
6.Return on Equity (ROE) เลือกลงทุนหุ้นของบริษัทที่มี ROE เพิ่มขึ้นสม่ำเสมอ เพราะนั่นจะเป็นบริษัทที่ทำให้เรารวยได้ในระยะยาว
7.Return on Asset (ROA) การมี ROA สูงๆนั้นเป็นผลดีเฉกเช่นเดียวกับ ROE แต่หากมี ROA สูงเกินไป อาจนำมาซึ่งคู่แข่งใหม่ที่มีศักยภาพแข็งแกร่งกว่า
ขั้นตอนที่ 3 by คุณกวี ชูกิจเกษม และคุณหมีส้ม
นำบริษัที่อยู่ใน list ด้านบน มาแล้วรอจังหวะที่ P/E ต่ำกว่าหรือเท่ากับ ROE เช่น ROE 20% แต่ P/E อยู่ที่ 10 เป็นต้น
จากทั้ง 3 ขั้นตอน เมื่อได้เลือกลงทุนแล้วต้องหมั่นติดตามและวิเคราะหฺ์งบ หากบริษัทยังดีอยู่จงถือต่อไปในระยะยาว (รวยแบบธรรมชาติ) แต่ถ้าพื้นฐานเปลี่ยนไปในแนวโน้มไม่ดีขึ้น ควรขายทิ้งนะครับ อย่ายึดมั่นมากนัก
1.Earning Per Share (EPS) สม่ำเสมอและเติบโต
2.Gross Profit Margin (GPM) เพิ่มขึ้นหรือคงที่ เพราะแสดงถึงความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่ง และหลีกเลี่ยงบริษัทที่มีอัตรากำไรขั้นต้นผันผวน หรือลดลงในระยะยาว
3.Selling and Administration Expense to Sales ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์สินค้า และหลีกเลี่ยงบริษัทที่มีอัตราดักล่าวเพิ่มขึ้นหรือมีความผันผวนสูง
4.Interest Expense to Earing before interest and Taxes (EBIT) ต่ำหรือไม่มีเลยและลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะนั่นจะนำมาซึ่งการแข่งขันในระยะยาว
5.Net Profit Margin เลือกลงทุนหุ้นของบริษัทที่มีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหากอัตราส่วนนี้มีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงผิดปกติ แต่สุดท้ายกลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังจากนั้น ให้ตั้งข้อสังเกตว่าเกิดจากกำไร/ขาดทุนจากรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว ไม่มีอะไรน่ากังวล
6.Return on Equity (ROE) เลือกลงทุนหุ้นของบริษัทที่มี ROE เพิ่มขึ้นสม่ำเสมอ เพราะนั่นจะเป็นบริษัทที่ทำให้เรารวยได้ในระยะยาว
7.Return on Asset (ROA) การมี ROA สูงๆนั้นเป็นผลดีเฉกเช่นเดียวกับ ROE แต่หากมี ROA สูงเกินไป อาจนำมาซึ่งคู่แข่งใหม่ที่มีศักยภาพแข็งแกร่งกว่า
ขั้นตอนที่ 3 by คุณกวี ชูกิจเกษม และคุณหมีส้ม
นำบริษัที่อยู่ใน list ด้านบน มาแล้วรอจังหวะที่ P/E ต่ำกว่าหรือเท่ากับ ROE เช่น ROE 20% แต่ P/E อยู่ที่ 10 เป็นต้น
จากทั้ง 3 ขั้นตอน เมื่อได้เลือกลงทุนแล้วต้องหมั่นติดตามและวิเคราะหฺ์งบ หากบริษัทยังดีอยู่จงถือต่อไปในระยะยาว (รวยแบบธรรมชาติ) แต่ถ้าพื้นฐานเปลี่ยนไปในแนวโน้มไม่ดีขึ้น ควรขายทิ้งนะครับ อย่ายึดมั่นมากนัก
No comments:
Post a Comment