วิธีประเมินมูลค่าบริษัทของหมีส้ม

ผมคัดลอกการลงทุนของคุณหมีส้มมาจาก Link ด้านล่าง เพราะผมก็เป็นมือใหม่และบทความนี้ช่วยได้เยอะจริงๆ
ช่วยเข้าไปกด Like ด้วยนะครับ

Credit: https://www.facebook.com/pages/มีความสุขกับหุ้นปันผล-by-หมีส้ม

บทความวันที่ 20 สิงหาคม 2556 เวลา 23.34 น.

 หุ้น P/BV ต่ำ ดีจริงๆ หรือไม่

พอดีวันนี้มีสหายในเพจ ได้จุดประเด็นมาหนึ่งอย่างที่หมีค่อนข้างให้ความสำคัญ ก็คือ ถึงแม้หมีจะชอบหุ้น P/BV ต่ำ เพราะความเสี่ยงมันจะน้อยกว่าพวก P/BV สูง อารมณ์ประมาณว่า มี Margin of safety หรือ "ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย" แต่ถ้ามองในแง่ความเป็นจริงแล้ว หุ้น P/BV ต่ำ ก็คือ “ของถูก” ซึ่งทำไมมันจึง “ถูก” ล่ะ แสดงว่ามันต้องมีอะไรที่ไม่ดีแน่ๆ เลย วันนี้เลยจะมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเด้อ ถูกผิดอย่างไร ลองเก็บไปไตร่ตรองดูนา..

ในความคิดของหมี หุ้นที่ P/BV ต่ำ หมีแบ่งออกเป็นสามประเภท

ประเภทแรก หุ้นที่มีสินทรัพย์เยอะ แต่เป็นกิจการตะวันตกดิน ทำให้กำไรต่อหุ้นน้อยมาก ตลาดจึงไม่สนใจหุ้นตัวนี้ บางตัว P/BV 0.3 – 0.5 ถูกเรื้อรัง แต่ก็อยู่อย่างนี้มายาวนาน เพราะถูกกดดันจากผลประกอบการที่ไม่ไปไหน ก็จะคอนวนเวียนอยู่ในตลาดหุ้น แบบความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ บางตัวโครงสร้างทางการเงินดีมาก มีเงินสดเยอะมาก (แต่ก็ไม่เอาไปทำอะไร) ประมาณว่ามูลค่าทางบัญชี 9 บาทต่อหุ้น ราคาปัจจุบัน 7 บาทหุ้น แต่มีเงินสดในมือที่ 6 บาทต่อหุ้น

ประเภทที่สอง หุ้น P/BV ต่ำที่เน่า เป็นการกลายร่างมาจากหุ้นประเภทแรก คือดูเหมือนจะมีสินทรัพย์มาก แต่กลับกลายเป็นว่าสินทรัพย์อยู่ใน รูปเครื่องจักร หรือค่าความนิยม หรืออื่นๆ ที่แปลงเป็นเงินสดได้ยาก และพอไปดูเงินสด กับหนี้สินระยะสั้น (เช่นพวกเงินเบิกเกินบัญชี, เจ้าหนี้การค้า) ปรากฏว่ากระแสเงินสดติดลบเป็นหลักร้อยหลักพันล้านบาท หุ้นพวกนี้คือพวกที่กำลังจะลงนรก หรือมีโอกาสสูงที่จะลงนรก เพราะสินทรัพย์มีการด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ และโดยมากกิจการพวกนี้ก็จะมีการขาดทุนขนาดหนัก เนื่องมาจากโครงสร้างทางการเงินที่ย่ำแย่ (และสังเกตดู เจ้าของหุ้นหรือผู้บริหาร มักจะถือหุ้นน้อย หรือชอบเพิ่มทุน ลากคนอื่นเข้าไปเจ็ง) แต่ด้วย P/BV ที่ต่ำมาก จึงทำให้มีคนสนใจเข้าลงทุนอย่างสม่ำเสมอ

และประเภทสุดท้าย คือ หุ้น P/BV ต่ำที่เป็นวัฏจักร หรือ ที่เรารู้จักกันว่า “Cycle” และรอวันที่มันฟื้นกลับมา โดยหุ้นพวกนี้ อาจจะเป็นหุ้นประเภทที่หนึ่งหรือสองก็ได้ ที่มีสายป่านยาวพอที่จะพ้นช่วงวิกฤต ทำให้สามารถกลับมาสร้างกำไรมหาศาล หุ้นพวกนี้ มักมีการขาดทุนสต๊อก หรือมีเรื่องของโภคภัณฑ์เข้ามาเกี่ ยวข้อง ถ้าลงทุนถูกจังหวะ ก็สามารถที่จะทำกำไรได้มหาศาล แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าหุ้นประเภทที่สามนี้ จะต่างกับหุ้นประเภทที่สอง ตรงนี้มีลักษณะของกระแสเงินสดดี อาจจะขาดทุนเล็กน้อย แต่โครงสร้างทางธุรกิจยังแข็งแกร่ง เพียงแต่ยังคงหลับอยู่

อย่างไรก็ตาม การดู P/BV หมายถึง การดูว่ามีสินทรัพย์เท่าไหร่ เมื่อเทียบกับราคา ซึ่งสินทรัพย์ที่ประกอบมาเป็น P/BV มันก็มีหลายประเภท และมีคุณค่าที่ไม่เท่ากัน (หรือจะกล่าวได้ว่า มันคิดเป็นเงินได้ไม่เท่ากัน) ทั้งๆที่ก็มีการบันทึกบัญชีไว้ในมูลค่าที่สูง โดยคอนเซปต์คร่าวๆ หมีให้เป็นแบบนี้ ยกตัวอย่างให้ดู.. สมมติบริษัท A มีหุ้น 100ล้านหุ้น ขายที่ราคาปัจจุบัน 2 บาท

ในด้านสินทรัพย์ ประกอบด้วยเงินสด 50ล้าน บาท ลูกหนี้การค้า 100 ล้านบาท สินค้าคงเหลือ 100 ล้านบาท ที่ดินและเครื่องจักร 500ล้านบาท และค่าความนิยม 50 ล้านบาท รวมมีสินทรัพย์ 800 ล้านบาท

ในขณะที่หนี้สินประกอบด้วย หนี้ระยะสั้น 100 ล้านบาท และหนี้ระยะยาว 300 ล้านบาท รวมมีหนี้สินเป็น 400 ล้านบาท ซึงเมื่อเอาสินทรัพย์มาลบหนี้สินแล้ว ทางตัวเลขจะได้ส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 400 ล้านบาท บริษัมนี้มีหุ้นอยู่ 100 ล้านหุ้น ดังนั้นจึงมีมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นที่ 4 บาทต่อหุ้น (400/100) ในขณะที่ปัจจุบันหุ้นมีราคา 2 บาท คิดเป็น P/BV ที่ 0.5 เท่า (2/4) ซึ่งดูเหมือนจะปลอดภัยนะ..

แต่ถ้าเป็นหมีคำนวณ สินทรัพย์ของบริษัทนี้ จะลดลงไปเยอะทีเดียว เพราะหมีจะคิดว่า สมมติว่าหมีเทคโอเวอร์บริษัทนี้ แล้วเลิกกิจการ มันจะ “มีมูลค่าเท่าไหร่” กันแน่ ในด้านหนี้สิน ชัดเจนอยู่แล้วว่า หนี้ก็คือหนี้ ดังนั้นมันอยู่ครบ 400 ล้านบาทแน่นอน แต่ในด้านสินทรัพย์ละ..

1.ส่วนของเงินสด หมีไม่ติดใจ อยู่ที่ 50ล้านบาท ก็เงินมันก็คือเงินนี่นา..

2. ส่วนของลูกหนี้การค้า หมีจะไปดูในรายงานรายไตรมาส ว่าบริษัทในช่วงที่ผ่านมา โดนชักดาบกี่เปอร์เซนต์ สมมติว่า 10% หากลูกหนี้การค้าอยู่ที่ 100 ล้านบาท หมีจะตีค่าว่า มันมีจริงๆ แค่ 90ล้านบาท..

3. สินค้าคงเหลือ หมีก็จะไปดูว่ามันมีอะไรบ้าง แต่โดยทั่วไป หมีให้ที่ 20-50% ของมูลค่า อันนี้คิดที่ 50% แล้วกัน เลขง่ายดี ก็จะถือว่าสินค้าคงเหลือมีมูลค่า 50ล้านบาท

4. รายการนี้สำคัญมาก คือที่ดินและเครื่องจักร อันนี้ต้องไปเช็คดูว่ามันมีอะไรบ้าง โดยทั่วไป ถ้าเป็นที่ดิน หมีให้ที่ 50% แต่ถ้าเป็นเครื่องจักร หมีตีเป็น 0 เลย ในการคำนวณอันนี้ เผื่อให้ง่าย หมีตีไปที่ 50% ก็แล้วกัน จากรายการนี้ 500ล้านบาท ก็อยู่คิดให้ที่ 250ล้านบาท ในรายการนี้ มักเป็นจุดที่สะสม hidden asset เอาไว้ โดยมากจะเป็นที่ดินที่ใช้ราคาประเมินเดิม อาจจะเมื่อ 20-30 ปีก่อน พอปรับใหม่ ก็อาจจะทำให้มูลค่าขึ้นไปเป็นสิบๆเท่า

5. ค่าความนิยม หมีตีเป็น 0 เลย

สรุปว่าสินทรัพย์ตามราคาประเมินของ หมี ก็คือ 50+90+50+250 = 440ล้านบาท ซึ่งพอหักกับหนี้สิน 400 ล้านบาทแล้ว เหลือส่วนของผู้ถือหุ้นเพียง 40ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าทางบัญชี 0.4 บาทต่อหุ้นเท่านั้นเอง (40/100) ดังนั้นที่ราคาปัจจุบัน 2 บาท กลายเป็นว่า P/BV ในสายตาหมีส้ม จะเป็น 2/0.4 = 5 เท่า ซึ่งต่างจากมุมมองตรงๆ ทางบัญชี ที่ P/BV ที่ 0.5 เท่า เท่านั้นเอง ทั้งนี้การประเมินจะแม่นยำหรืออะไรยังไง ก็ขึ้นอยู่กับความชำนาญและสมมติฐานของแต่ละคน

ซึ่งจะเห็นได้ว่า การอ่านเอกสาร 56-1 และงบการเงินตัวฉบับเต็ม จึงมีส่วนสำคัญอย่างมาก และ”จำเป็นต้องอ่าน” บางบริษัทอาจจะมีคดีความ ซึ่งหากแพ้คดี ก็จะมีหนี้สินก้อนโตตามมาก็ได้ ซึ่งหากบริษัท ยังไม่กันเงินสำหรับความเสียหายส่วนนี้เอาไว้ ก็อาจจะมีปัญหาในอนาคตก็เป็นได้..

สุดท้ายนี้ก็คือ การลงทุนในหุ้น P/BV ต่ำ ถึงจะมีสินทรัพย์มาก แต่ถ้าขาดทุนหนักๆ ต่อเนื่อง ไม่ช้านาน ทุนเก่าก็จะถูกกินจนหมด (หรือเจ้าของอาจจะไซ่ฟ่อนของดีๆ ไปอยู่ที่บริษัทอื่น ทิ้งความเน่าไว้ให้เม่าอย่างเรา) ดังนั้น หุ้นที่ขาดทุนแบบซ้ำซาก ขาดทุนแบบหนักๆ และมองไม่เห็นทางว่าจะฟื้น ถึงแม้จะ P/BV ต่ำมาก (0.2-0.5 เท่า) ก็ควรหลีกเลี่ยงคับ

หวังว่าจะได้ประโยชน์อะไรบ้างนะครับ อันนี้มาจากความเห็นของหมีเอง ผิดถูกยังไง ไปปรับใช้กันเองเด้อ..

Chanpit Chirith

No comments:

Post a Comment

SUBSCRIBE