ตอนที่ 10 วิธีการเล่นหุ้น ของ Dekladprao

https://www.facebook.com/talktodekladprao
วิธีการเล่นหุ้นนั้นมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือ เล่นขาขึ้นกับเล่นขาลง

ในการเล่นขาขึ้นนั้น ยังแบ่งออกเป็น 2 แบบย่อย ๆ คือ

1. เล่นรอบ หรือเล่นในกรอบ หุ้นที่เหมาะจะเล่นในรูปแบบนี้ควรเป็นหุ้นที่อยู่ในช่วง Sideway คือจะซื้อบริเวณแนวรับ และจะไปขายบริเวณแนวต้าน ความยากของการเล่นแบบนี้คือ เราต้องแม่นในเรื่องแนวรับ แนวต้าน มิฉะนั้นจะกลายเป็นซื้อแนวต้าน มาขายแนวรับ (เห็นกันเป็นประจำ)
2. เล่นแบบ Breakout คือเล่นเมื่อหุ้นทะลุแนวต้านขึ้นไปแล้ว ที่เล่นแบบนี้ เพราะมีหลักว่า หุ้นเมื่อทะลุแนวต้านขึ้นไปแล้ว คนส่วนใหญ่จะไม่ขายหุ้นออกมา เพราะเห็นว่าหุ้นทะลุขึ้นมาแล้ว แรงซื้อชนะแรงขายอย่างแน่นอนแล้ว ในช่วงที่เริ่มทะลุขึ้นมาจะเป็นการ Follow Through กระหน่ำซัดแรงขายที่เพลี่ยงพล้ำแล้ว หุ้นจึงขึ้นต่อได้อย่างง่าย และมากด้วย ยิ่งถ้าทะลุแนวต้านสุดท้าย คือทำจุดสูงสุดตั้งแต่เข้าตลาด (All time high) จะยิ่งมีความสำคัญมาก เพราะแรงขายจะน้อย หุ้นจะไปไกลมว๊าก ๆ

ความยากของการเล่นแบบนี้ อยู่ที่นอกจากจะดูแนวต้านเก่งแล้ว ยังจะต้องดูเรื่องการ Breakout ให้เป็นอีกด้วย (อ่านทบทวนย้อนหลังดู) แต่จะสรุปเรื่อง Breakout ให้ฟังสั้น ๆ คือ
-- หุ้นจะต้องทะลุผ่านแนวต้าน และ
-- ในวันที่หุ้นทะลุแนวต้าน จะต้องมีโวลุ่มในการเทรดมาก (คำว่ามากอาจเทียบจากโวลุ่มการเบรคครั้งก่อนได้ หากยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี และ
-- ในวันเบรคจะต้องมีช่วงกว้างราคาที่มากเพียงพอ (ยิ่งมากยิ่งดี แสดงให้เห็นว่าแรงซื้อชนะแล้ว)
ถ้าเข้าเงื่อนไข 3 ข้อนี้ ถือว่า Breakout ตัวอย่างวันนี้เช่น หุ้นที่เราจับมาทำ Demo แล้วรอซื้อ นั่นคือ Hmpro นั่นเอง จะเห็นว่ากว่าจะซื้อได้ต้องอดทนรอ



ส่วนการเล่นขาลง คือ ถ้าเห็นว่าหุ้นจะตกแน่ ๆ เราอาจจะขายหุ้นที่อยู่ในมือออกไปก่อน หรือยืมหุ้นจากโบรกเกอร์มาขายก็ได้ แล้วเมื่อหุ้นตกไปเรื่อย ๆ ก็ไปซื้อคืนที่ราคาที่ต่ำกว่ากลับเข้าพอร์ต หรือคืนโบรกเกอร์ แต่การเล่นแบบนี้ค่อนข้างเสี่ยง และผู้เล่นนอกจากจะต้องแม่นยำในแนวรับ แนวต้านแล้ว ยังต้องเชี่ยวชาญในการดูจุด Swing high - low ด้วย มิฉะนั้นจะเสียหายมากกว่าการ Cut loss

สิ่งที่ควรจำคือ เซียนจะเล่นหุ้นเมื่อ Breakout แล้ว , รายย่อยจะเล่นตามรอบ ส่วนแมงเม่า จะเล่นตามข่าว

ต่อไปคือวิธีการเล่นที่อันตราย คือเล่นแล้วเสียแน่ ๆ ได้แก่


1. เล่นโดยไม่รู้แนวรับ แนวต้าน เช่น เล่นตามข่าว เล่นตามแห่ เล่นตามอารมณ์ ซื้อเพราะราคาต่ำกว่าครั้งก่อน ซื้อเพราะวิเคราะห์ด้วยจินตนาการ จากสิ่งที่จินตนาการ ซ้อนกันเข้าไปอีก เช่น ได้ข่าวลือมาว่าการชุมนุมจะยืดเยื้อ วิเคราะห์ไปอีกว่าเมื่อยืดเยื้อแล้ว น่าจะมีความรุนแรง วิเคราะห์ซ้ำไปอีกว่าเมื่อรุนแรงแล้วหุ้นจะตก ต่างชาติจะทิ้ง เรียกว่าจินตนาการซ้อนจินตนาการ เลยตัดสินใขขายทิ้งซะเลย ผลอาจจะเป็นยืนร้องไห้ส่งรถขายหมู
2. ซื้อเฉลี่ยขาลง เป็นสิ่งที่โคตรอันตรายในการเล่นหุ้น เคยบอกแล้วให้สักไว้ที่หน้าผากเลยว่าห้ามซื้อเฉลี่ยขาลง ยกเว้นหุ้นที่กำลังทำ Correction เพราะมันอาจจะทะลุแนวรับไปเลยก็ได้ (ดู kk ) กลายเป็นดับเบิ้ลเสีย ไม่ใช่ลดการเสีย เช่น ซื้อที่ 40 จำนวน 1000 หุ้น ตกลงมาซื้อที่ 36 อีก 1000 หุ้น เฉลี่ย 38 แต่ก็เสียเท่าเดิมนั่นแหละ คือ 4*100 = 4000 เหมือนเดิม ถ้าลงอีก เสียเพิ่มอีก แทนที่จะเสีย 1000 หุ้น กลายเป็นเสีย 2000 หุ้น
3. พวกวัยรุ่น มือใหม่ กลัวรวยช้า ซื้อทีเดียวตัวเดียวเต็มพอร์ต แบบนี้จะกลับตัวไม่ได้เมื่อหุ้นตก เสียมากทันที
4. ซื้อหุ้นหลายตัวเกินไป บางคนมีเกือบ 20 ตัว จำนวนหุ้นที่ควรมีในพอร์ตไม่ควรเกิน 5 ตัว จะได้ดูแลทั่วถึง
5. ข้อนี้เจอมาบ่อยมาก และสำคัญที่สุด คือหุ้นขึ้นรีบขาย ประเภทเป็นคนกลัวกำไรมาก อยาก Realize กำไร ออกมาเป็นเงินสด แต่เวลาหุ้นตกกลับเก็บไว้ ในที่สุดกำไรนิดเดียว เหลือแต่หุ้นกาก ๆ เต็มพอร์ต พร้อมกับหลอกตัวเองว่า ตราบใดที่ไม่ขาย ไม่ขาดทุน หรือไม่ก็พร่ำบอกคนอื่นว่าขอเป็นนักลงทุนระยะยาว รับปันผลไปเลย

วันนี้ขอแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้จะมาตอบคำถามแฟนเพจ (ไม่รู้ไปสืบมาได้อย่างไร มีการส่งมาทาง E-mail และ Line ซะด้วย )

เด็กลาดพร้าว
5 ส.ค. 56
18.20 น.

Chanpit Chirith

No comments:

Post a Comment

SUBSCRIBE