วิธีการลงทุนที่ผมคิด
ว่าง่ายและปลอดภัยพอสมควรและได้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีในระยะยาวก็คือ
การลงทุนใน “ซุปเปอร์สต็อก” คือซื้อหุ้นของบริษัทที่ “ดีเยี่ยม”
ในด้านของการตลาด เช่น
เป็นบริษัทที่ขายสินค้าได้มากเป็นอันดับหนึ่งและมีส่วนแบ่งทางการตลาด
มากกว่าคู่แข่งอันดับรองลงมาเป็นเท่าตัว
หรือมีสินค้าที่เป็นที่นิยมของผู้ใช้มากกว่าคู่แข่งมากจนทำให้ลูกค้ายินดี
จ่ายเงินเพิ่มขึ้นพอสมควรเพื่อใช้สินค้าของบริษัท
หรือเป็นบริษัทที่ยังไงผู้บริโภคหรือลูกค้าก็ต้องใช้เนื่องจากเป็นกิจการที่
“ผูกขาด” ธุรกิจในพื้นที่นั้น เป็นต้น ในด้านของการเงินเองนั้น
บริษัทก็มีฐานะและผลประกอบการที่ดีมาก มีกำไร “งดงาม”
เมื่อเทียบกับคู่แข่งและเงินลงทุนของตนเอง มีงบการเงินที่ “แข็งแกร่ง”
เนื่องจากธุรกิจนั้นสร้างกระแสเงินสดได้ดีและไม่ต้องลงทุนในเครื่องจักร
อุปกรณ์มาก และสุดท้าย เราสามารถซื้อหุ้นในราคาที่ถูกหรือ “ไม่แพง”
คิดจากค่า PE และ PB ที่ไม่สูงเกินไป และ ปันผลตอบแทนที่ไม่ต่ำเกินไป
หรือในกรณีของบริษัทที่ยังไม่ค่อยมีกำไรเนื่องจากกำลังขยายตัวเราก็จะต้องดู
เรื่องของ Market Cap. ที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับศักยภาพของบริษัทในอนาคต
หลังจากที่ซื้อหุ้นที่เป็นซุปเปอร์สต็อกแล้ว
โดยปกติเราก็ไม่ต้องทำอะไรมาก สิ่งที่ต้องทำก็คือ
ติดตามดูสถานะของบริษัทไปเรื่อย ๆ
ว่ามันยังเป็นบริษัทที่ดีเยี่ยมอยู่หรือเปล่า
คู่แข่งเข้ามาแย่งชิงลูกค้าได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าพบว่าบริษัทเริ่มจะ
“เพลี่ยงพล้ำ” และไม่มีท่าทีว่าจะแก้ไขได้
หรือมีการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม เช่น
มีเทคโนโลยีใหม่หรือรูปแบบการทำธุรกิจใหม่เข้ามาแข่งกับธุรกิจเดิม
แบบนี้เราก็อาจจะต้องขายหุ้นทิ้ง แต่ถ้าไม่ใช่ เราก็ไม่ต้องทำอะไร
ไม่ต้องสนใจว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงยกเว้นว่าหุ้นจะขึ้นไปมากจนค่า PE
อาจจะขึ้นไปถึง 50-60 เท่า
ถ้าเป็นแบบนั้นเราก็อาจจะพิจารณาขายหุ้นทิ้งเพราะมันอาจจะแพงเกินไปจริง ๆ
อาจจะเนื่องจากเหตุผลพิเศษเช่นตลาดหุ้นกลายเป็นกระทิงหรือมีการเก็งกำไรใน
หุ้นที่รุนแรงเกินไป ส่วนในกรณีที่หุ้นตกลงมานั้น
เรามักจะไม่ขายซุปเปอร์สต็อกเลย
หลายคนบอกว่าตนเองนั้น
อยากลงทุนในซุปเปอร์สต็อกเหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าหุ้นตัวไหนเป็นซุปเปอร์สต็อก
จริง ๆ
หรือรู้ว่าน่าจะเป็นซุปเปอร์สต็อกแต่ก็ไม่รู้ว่ามันแพงเกินไปหรือเปล่า
นอกจากนั้น
บางคนถือหุ้นที่น่าจะเป็นซุปเปอร์สต็อกแต่ก็ไม่รู้ว่าจะขายเมื่อไร
บ่อยครั้งก็รีบขายเกินไป บ่อยครั้งก็ถือยาวเกินไป
สุดท้ายก็พลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีใน “ระยะยาว”
ซึ่งก็ไม่รู้ว่ายาวแค่ไหน ความไม่เข้าใจหรือความสับสนต่าง ๆ
เหล่านี้มักทำให้การลงทุนในซุปเปอร์สต็อกของหลายคนนั้น ทำไม่ได้!
และนั่นทำให้หลักการและวิธีการลงทุนง่าย ๆ แบบนี้กลายเป็นของยาก
เพราะเหตุว่าคนส่วนใหญ่ “ทำใจไม่ได้”
เวลาที่เห็นราคาหุ้นขึ้นลงผันผวนรุนแรงทุกวัน ทุกเดือน และทุกปี
วิธีที่จะ “เอาชนะ”
จิตวิทยาของเราเองนั้น ผมคิดว่าเราควรที่จะท่องคำว่า “สามคำสามปี”
ไว้ในใจตลอดเวลา สามคำที่ว่าก็คือ “รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม”
นั่นก็คือ เราต้องคิด วิเคราะห์
และมั่นใจว่ากิจการหรือบริษัทนั้นจะมีรายได้ในปีปัจจุบันเพิ่มขึ้น
คำว่ามั่นใจนั้นแปลว่าโอกาสที่รายได้จะเพิ่มขึ้นนั้นสูงมาก อย่างน้อยอาจจะ
80% ขึ้นไป โอกาสที่รายได้จะไม่เพิ่มขึ้นนั้นน้อยมากไม่ถึง 20%
การวิเคราะห์ของเราจะต้องไม่ลำเอียงและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
อย่าไปเชื่อการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่มักจะลำเอียงในทางที่ราย
ได้สูงกว่าความเป็นจริงและมักไม่พูดถึงโอกาสความเป็นไปได้
พวกเขามักจะวิเคราะห์อย่างมั่นใจแต่ก็จะมีอักษรตัวเล็ก ๆ
กำกับไว้ตอนท้ายของบทวิเคราะห์ว่า
ที่พูดมาทั้งหมดนั้นตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่…. ซึ่งทำให้การคาดการณ์ต่าง ๆ
ที่กล่าวมานั้น ไม่ผิด! ในตอนที่พูด
แต่อาจจะผิดจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นภายหลัง แต่เมื่อถึงเวลานั้น
ความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้วสำหรับคนที่เชื่อบทวิเคราะห์ซื้อหรือขายหุ้น
คำต่อมาก็คือ
กำไรเพิ่ม นี่ก็เช่นเดียวกัน
เราต้องมีเหตุผลประกอบอย่างชัดเจนและโอกาสที่จะเป็นอย่างนั้นก็ต้องสูงเป็น
80% ขึ้นไป โอกาสที่กำไรจะลดลงนั้นน้อยมาก พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ
เรามีความมั่นใจมากว่าเมื่อยอดขายเพิ่มขึ้น
ยอดขายนั้นจะก่อให้เกิดกำไรมากขึ้นเนื่องจากบริษัทจะสามารถรักษา Profit
Margin หรือกำไรต่อยอดขายเท่ากับปีก่อนหรือสูงขึ้นอย่างแน่นอน
ไม่ใช่ยอดขายเพิ่มขึ้นแต่กำไรต่อยอดขายลดลง
ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นเราก็อาจจะไม่มีกำไรเพิ่ม
การรักษากำไรต่อยอดขายไว้ได้นั้น เหตุผลต้องชัดเจนและมีโอกาสเกิดขึ้นสูง
เช่น
สินค้าของเรานั้นสามารถตั้งราคาได้เองไม่ใช่เป็นราคาตลาดโลกที่เราควบคุมไม่
ได้เป็นต้น
คำที่สามก็คือ
ปันผลเพิ่มขึ้น นี่ก็ต่อมาจากคำแรกและคำที่สองที่ว่ารายได้เพิ่มขึ้น
และกำไรเพิ่มขึ้น
ซึ่งโดยปกติถ้าเป็นอย่างนั้นและบริษัทมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี
อาจจะเนื่องจากว่าบริษัทขายสินค้าส่วนใหญ่เป็นเงินสดแต่มักซื้อสินค้าเป็น
เงินเชื่อ
หรือบริษัทไม่ต้องลงทุนในการซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์มากมายในการทำงานหรือ
ขยายงาน การจ่ายปันผลก็ควรที่จะเพิ่มขึ้น
ถ้าบริษัทไม่จ่ายปันผลเพิ่มทั้ง ๆ ที่มีกำไรเพิ่ม
เราก็ต้องดูเหตุผลว่าเพราะอะไร
บางครั้งบริษัทอาจจะจ่ายปันผลเท่าเดิมหรือใกล้เคียงกับของเดิมมากเนื่องจาก
กำไรที่เพิ่มขึ้นอาจจะไม่มาก แบบนี้เราก็อาจจะ “พอทน” ยอมรับได้
คำทั้งสามที่กล่าวถึง
ข้างต้นนั้น
ผมต้องขอเพิ่มเงื่อนไขอีกหนึ่งข้อเพื่อไม่ให้เราหลงผิดคิดว่าบริษัทเข้า
เกณฑ์หมด เงื่อนไขที่ว่าก็คือ รายได้ กำไร และปันผลที่เพิ่มขึ้นนั้น
จะต้องเป็นรายได้ กำไร และปันผล “ปกติ” จากการดำเนินงานตาม “ปกติ”
ไม่ใช่รายได้พิเศษ กำไรพิเศษ และปันผลพิเศษหรือปันผลเป็นหุ้น ที่
“เกิดขึ้นครั้งเดียว” เช่น
จากการขายที่หรือขายทรัพย์สินอื่นรวมถึงการขายทรัพย์สินเข้ากองทุนอสังหาริม
ทรัพย์ที่เกิดขึ้นบ่อย ในกรณีดังกล่าวนั้น
เราต้องตัดรายการพิเศษออกและคำนวณดูว่า รายได้ กำไร
และปันผลที่มาจากการดำเนินงานปกติของบริษัทเป็นอย่างไร
เมื่อเราพบว่า
รายได้ กำไร
และปันผลของบริษัทเพิ่มขึ้นหรือคาดว่าเพิ่มขึ้นแน่ด้วยความเป็นไปได้ถึง 80%
ขึ้นไปในปีปัจจุบันแล้ว สิ่งที่จะต้องทำต่อไปก็คือ
เราต้องวิเคราะห์และคาดการณ์ต่อไปอีกอย่างน้อย 3 ปีข้างหน้าว่า
บริษัทจะสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอีกอย่างน้อย 3 ปีข้างหน้า
นี่ก็ต้องอาศัยการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน ถามตัวเองว่าอีก 3 ปี
กิจการจะโตขึ้นไหมเพราะอะไร
ใครเป็นคู่แข่งและจะมีคู่แข่งใหม่ที่น่ากลัวไหม
เทคโนโลยีใหม่จะเข้ามาแย่งลูกค้าจากเราไหม สิ่งต่าง ๆ
เหล่านี้จะต้องถูกนำมาคิดอย่างไม่ลำเอียง โอกาสที่เราจะพลาดสูงแค่ไหน
ถ้าคำตอบก็คือ มีโอกาส 50-50 ที่ยอดขายเราอาจจะไม่เพิ่มขึ้น 3
ปีหลังจากนี้เนื่องจากเหตุผลอะไรก็ตาม นั่นก็แสดงว่า เราไม่ผ่านเกณฑ์ 3
ปี ผมเองคิดว่าถ้าจะให้ผ่านเกณฑ์นี้
โอกาสความเป็นไปได้ควรจะเป็นอย่างน้อย 70-75% ขึ้นไป
ซึ่งนั่นหมายความว่าเรามีความมั่นใจสูงที่ รายได้ กำไร และปันผลใน 3
ปีข้างหน้านั้นจะเพิ่มขึ้น
เราต้องมั่นใจว่าธุรกิจของบริษัทนั้นจะยังเติบโต ไม่มีใครมาทำอะไรมันได้
และ ไม่เปลี่ยน ในอีกอย่างน้อย 3 ปีข้างหน้า
ถ้าเราถือหุ้นที่เข้า
เกณฑ์ “สามคำสามปี” ดังที่กล่าว เราก็มักไม่ต้องทำอะไร
บางทีไม่ต้องไปคิดด้วยว่าตกลงมันเป็นซุปเปอร์สต็อกจริง ๆ หรือเปล่า
สิ่งที่ต้องทำก็คือ คอยติดตาม ทบทวนและวิเคราะห์กิจการไปเรื่อย ๆ
โดยเฉพาะตอนสิ้นปี ถ้าผลออกมาบริษัททำได้คือ มีรายได้เพิ่ม
กำไรเพิ่มและจ่ายปันผลเพิ่ม เราก็สรุปว่ามันเป็นอย่างที่คาดไว้ในตอนต้นปี
แต่หลังจากนั้นเราก็ต้องวิเคราะห์และคาดการณ์ต่อไปข้างหน้าอีก 3 ปี
ถ้าคำตอบก็เป็นอย่างเดิม นั่นก็คือ บริษัทก็จะยังมีรายได้ กำไร
และปันผลเพิ่ม เราก็จะยังคงถือหุ้นไว้ แต่ถ้าไม่ใช่
เราก็อาจจะต้องทำอะไรบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับเกณฑ์นี้
บทความนี้ ผมลงใน Blog นี้เพื่อที่ผมจะเก็บเอาไว้ย้ำเตือนแนวทางการลงทุนของตนเองครับ
(ที่มา : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=59677 )
No comments:
Post a Comment