เที่ยวสิงคโปร์ 6 วัน 5 คืน ตอนที่ 1

    เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมต้องไปดูงานที่สิงคโปร์ในช่วงวันที่ 7 - 9 เมษายน ซึ่งติดกับวันหยุดยาว Long Weekand (หยุดชดเชยวันจักรี) ผมเลยถือโอกาสชวนแฟนไปเที่ยวกันก่อน เพราะว่าประหยัดค่าตั๋วของผม และที่พักได้ 1 คืน (เพราะบริษัทออกค่าตั๋วไป-กลับ และที่พักให้ตั้งแต่คืนวันที่ 6 ครับ)

     ผมเลยจัดการจองตั๋วของ Tigerair ซึ่งเป็น Low Cost Airline ที่ต้องไปขึ้นที่สุวรรณภูมิให้แฟน เพราะผมได้นั่งการบินไทย รักเท่าคุณเท่าฟ้าครับ อิอิ ซึ่งค่าตั๋วของ Tigerair ไป-กลับ ประมาณ 3,500 บาท เที่ยวบินขาไปบิน 21.30 น. ของวันที่ 4 เม.ย. ขากลับบิน 14.00 น. (เวลาประเทศไทย) ของวันที่ 7 โดยเวลาของสิงคโปร์เร็วว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมงครับ

      รีวิวการเดินทางไปสิงคโปร์ โดย Tigerair
     ข้อมูลท่องเที่ยวสิงคโปร์ได้จากหลายๆ เว็บ แต่ที่ผมใช้หลักๆ คือ 3 เว็บนี้ครับ
1. Singapore Fanclub
2. เที่ยวสิงคโปร์ด้วยตัวเอง
3. รู้จริงสิงคโปร์

     เราวางแผนการเดินทางจากคอนโดย่านพระราม 3 โดยใช้ BRT ไปต่อ BTS ช่องนนทรี และสุดท้ายไปต่อ Airport Rial Link เพื่อประหยัดเวลา ยิ่งเป็นเย็นวันศุกร์ด้วยแล้ว เสี่ยงมากครับที่จะขับรถไปเอง หรือนั่งพี่ Taxi ไป

     ตารางเดินรถของ Airport Rial Link
ค่าโดยสารคนละ 45 บาท ขึ้นจาก BTS พญาไท ครับ
รถ Airport Rial Link

บรรยากาศภายใน Airport Rial Link 

ทางเชื่อมต่อ Airport Rial Link และสนามบินสุวรรณภูมิ

     เราออกเดินทาง 4 โมงเย็น ถึงสนามบินสุวรรณภูมิเกือบๆ 6 โมงเย็นครับ จากนั้นก็ไปกินมื้อเย็นที่โรงอาหารชั้นล่างของสนามบินสุวรรณภูมิครับ

     Fight ของผม บินประมาณ 2 ทุ่ม ส่วนของแฟน บินประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง แต่ Fight ของแฟนดันเลื่อนครับ เลื่อนไปบิน 5 ทุ่มครึ่ง โอ้ !! แม่เจ้า ทำใจครับ บิน Low Cost ก็แบบนี้ล่ะครับ ซึ่งผมต้องไปรอแฟนที่ Changi Airport แค่รอจากเดิม 2 ชม. เปลี่ยนเป็น 4 ชม. เท่านั้นเองครับ -_-;

     คืนแรกที่สิงคโปร์ เราแพลนกันไว้ว่าจะนอนที่ Changi Airport เนื่องจากไปถึงสิงคโปร์ก็เลยเที่ยงคืนแล้ว และรถไฟใต้ดินต่อเข้าเมืองก็ปิดแล้วด้วยครับ เลยแพลนกันแบบนี้ ซึ่ง Changi Airport ได้ชื่อว่าเป็นสนามบินที่น่านอนที่สุดในโลก บวกกับความประหยัดครับ ฮ่าๆๆ เลยต้องลองกันสักหน่อย ซึ่งหาข้อมูลได้ใน google เลยครับ

      แฟนผมบิน Tigerair ซึ่งต้องลงที่ Terminal 2 ดังนั้นเราก็เลือกนอนกันที่ Terminal 2 ผมอยากบอกว่านอนที่สนามบินได้ครับ แต่ต้องออกจาก ตม. มาก่อน มีที่พอให้นอนได้ แต่ไม่สบายหรอกครับ ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมจะยอมจองที่พักอีกคืนนึงครับ แต่ต้องยอมเสียค่า Taxi เข้าเมือง เอ่อ มันจะคุ้มมั้ยเนี่ย

      หลังจากนอนที่สนามบินได้สักราวๆ 4 - 5 ชม. ก็ล้างหน้า แปรงฟัน ที่ห้องน้ำของสนามบิน เพื่อเตรียมตัวเข้าเมืองกันครับ เราเข้าเมืองโดยใช้รถไฟใต้ดินครับ ผมแนะนำให้ใช้ บัตร Ez Link ซึ่งสะดวก และรวดเร็ว แต่มีเงื่อนไขว่าเวลาเติมเงินต้องเติมครั้งละ 10 เหรียญเท่านั้นนะครับ เพราะฉะนั้นคำนวณค่าเดินทางดีๆ ครับ หากใช้ไม่ถึง 10 เหรียญ ก็ซื้อแบบเที่ยวเดียวจะดีกว่าครับ


 บัตร Ez Link

      จุดหมายแรก เราจะไป Check-in และฝากกระเป๋าที่โรงแรม B88 Hostel ย่าน Litle India โดยออกจาก MRT Farrer Park Exit A ที่เลือกที่นี่ เพราะอยากลองเปลี่ยนย่านที่พักดูครับ และก็พบว่าพักแถว  China Town ดีที่สุดแล้วครับ (ครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว ผมไปพักแถว China Town ซึ่งเป็นที่พักยอดฮิตของคนไทยครับ โดยพักที่ Rucksack Inn @ Temple Street ขอบอกว่าประทับใจ เพราะสะอาด เดินทางสะดวกมาก มีแหล่งเดินเที่ยวใกล้ๆ)

B88 Hostel ย่าน Litle India



      ผมไม่ได้ถ่ายภาพห้องนอนมาครับ เป็นห้องรวม เตียงนอน 2 ชั้นครับ ถามว่าส่วนตัวมั้ย ก็ไม่ส่วนตัวมากครับ แต่ถือว่าประหยัดค่าที่พัก เพราะเราเที่ยวกันทั้งวัน ออกเช้ากลับมืดอยู่แล้ว เลยไม่อยากเพิ่มรายจ่ายสำหรับที่พักครับ โดยรวมแล้วโอเค พอรับได้ครับ แต่ความสะอาดสู้ Rucksack Inn @ Temple Street ไม่ได้เลยครับ แต่ก็ต้องยอมรับ เพราะ Rucksack Inn @ Temple Street ราคาแพงกว่าครับ   
  
ศูนย์อาหารใกล้ๆ โรงแรม B88 Hostel ย่าน Litle India

 ย่าน Little India
     
      และแล้วก็เข้าสู่การเที่ยวซักที หลังจากเกริ่นนำเรื่องการเดินทาง และที่พักไปแล้ว เราเริ่มต้นไปหาของกินมื้อเช้าที่ร้าน Ya Kun Kaya Toast ซึ่งเป็นร้านที่เก่าแก่ และขึ้นชื่อในหมู่คนไทย จริงๆ มีหลายสาขา แต่เราเลือกสาขาที่อยู่แถวๆ MRT Chinatown Exit E ครับ

      แผนที่การเดินทางไปร้านนี้ ดูได้จากเว็บของกูรู ลุงเด้งกับป้าไก่ เลยครับ ซึ่งอาจจะเดินยากนิดนึง ถ้าไปไม่ถูกจริงๆ ให้ลองถามทางครับ

ต้องเดินผ่าน Hong Lim Complex หรือ เห็นป้ายนี้นะครับ ให้เดินข้ามสะพานลอยเลยครับ

เมื่อข้ามสะพานลอยมาจะมีทางเดินแบบนี้ให้เดินตรงไปเรื่อยๆ ครับ

รูปปั้นระหว่างทางที่เดินไปครับ

จากนั้นให้ข้ามถนนไปก็จะเจอร้านครับ

ร้าน Kaya Toast

เราสั่งกัน 2 ชุดครับ รวมแล้วก็ 8.4 เหรียญ ราคาเอาเรื่องอยู่ครับ
Value Set Meals : Kaya Toast Set ราคาประมาณ 4.2 เหรียญ
มีไข่ลวก 2 ใบ / ขนมปังปิ้งไส้สังขยา + เนย / เครื่องดื่ม เย็น หรือ ร้อน 1 แก้ว 

ชานมร้อน และเย็น
ถามว่าอร่อยมั้ย ตอบว่างั้นๆ ไม่เข้มข้นเหมือนของไทยครับ

ไข่ลวก  2 ใบ มีซีอิ้วดำให้ใส่ครับ รสชาดก้อพอโอเคครับ

 ขนมปังปิ้งไส้สังขยา + เนย อันนี้อร่อยเลยครับ

       เมื่ออิ่มแล้วก็ได้เวลาเดินย่อยชมเมืองกันแถวๆ China Town กันครับ วันที่เราไปมีฝนตกปรอยๆ เกือบทั้งวันเลยครับ ย่านนี้มีห้างเยอะมากนะครับ และน่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของสิงคโปร์ ครึกครื้นทั้งวันเลย
ห้าง Hong Lim Complex ย่าน China Tow

ย่าน China Town

ย่าน China Town

ย่าน China Town

ย่าน China Town

ห้าง CTC Travel ย่าน China Town

ตลาด People's Park ย่าน China Town มีทั้งตลาดสด, ของใช้, ของกิน และศูนย์อาหาร

ตลาด People's Park ย่าน China Town

ย่าน China Town
 
      ที่ต่อไปที่เราจะไปกัน คือ วัดพระเขี้ยวแก้ว และไปกินข้าวมันไก่ Tian Tian ที่ Maxwell Road Food Centre กันครับ

Buddha Tooth Relic Temple & Museum หรือ ที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ วัดพระเขี้ยวแก้ว

วัดพระเขี้ยวแก้ว


China Town Complex อยู่ตรงข้ามวัดพระเขี้ยวแก้วเลยครับ

    ข้าวมันไก่ ร้าน Tian Tian Hainanese Chicken Rice ที่ Maxwell Road Food Centre เป็นข้าวมันไก่ไหหลำ ที่ขึ้นชื่อของสิงคโปร์ และร้านนี้ก็ฮิตในหมู่คนไทย เพราะอร่อย และราคาไม่แพงครับ

ต่อคิวรอข้าวมันไก่ ร้าน Tian Tian
 

ดูคิวสิครับ อยากจะบอกว่าหางแถวยาววนไปหลังร้านเลยนะครับ

      ของผมกับแฟน คือ จานที่โปะด้วยไก่นะครับ ไม่ใช่ไก่จานใหญ่ อิอิ มี option เพิ่ม คือ ผักลวกราดน้ำมันหอย ข้าวนุ่มหอม ไก่ก็นุ่ม ชุ่ม ฉ่ำ ซดน้ำซุปร้อนๆ เข้ากันดีจริงๆ แทบไม่ต้องใส่น้ำจิ้มเลยครับ น้ำจิ้มเค้าไม่เหมือนของเรานะครับ รสชาดอาจจะไม่คุ้นลิ้นคนไทย ส่วนผักก็หวานกรอบครับ

ข้าวมันไก่ จานละ 5.5 เหรียญ ผัก จานละ 3.5 เหรียญ

     เมื่อหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน ประกอบกับนอนไม่เต็มอิ่ม เลยตัดสินใจกลับไปนอนเอาแรงที่โรงแรมกันครับ ซึ่งตอนนั้นประมาณบ่าย 2 เลยกะกันไว้ว่าจะตื่นมาหาไรกินมื้อเย็น และเดินเล่นกันแถวๆ ที่พักครับ

      มาเริ่มเที่ยวกันตอนเย็นๆ กันต่อครับ แถวนี้เป็นย่านคนอินเดีย เห็นร้านอาหารอินเดียเยอะมาก ผมเลยกะจะลองกินอาหารอินเดียดูมั่ง และแล้วก็มั่วๆ เลือกร้าน และเมนู มาดูหน้าตาอาหารกันครับ งานนี้แฟนผมขอบาย ผมเลยกินคนเดียว ส่วนแฟนผมแค่ขอชิมนิดๆ หน่อยๆ ครับ

      อาหารอินเดียจานแรกของผม ดูจากโต๊ะข้างๆ แล้วชี้บอกเอาแบบนี้ ฮาครับ 555 อยากบอกว่าเยอะ
ครับ แต่ไม่ค่อยถูกปาก และราคาค่อนข้างแพง 

มื้อนี้โดนไป 12 เหรียญครับ ถึงกับเงิบเลย

      หลังจากนั้นก็เดินเล่นกันครับ ซึ่งแถวนี้มีห้างชื่อดังของย่านก็ คือ ห้าง Mustafa เป็นห้างที่ใหญ่มากครับ มีทุกสิ่งครบครัน ตั้งแต่ของกิน, ของใช้, เครื่องใช้ไฟฟ้า, คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ แม้กระทั่งเพชร ทอง รวมทั้งน้ำหอม และช็อกโกแลต ก็มีนะครับ สามารถซื้อเป็นของฝากได้ ราคาก็ถือว่าถูกครับ ซึ่งอยู่ที่สิงคโปร์ 5 วัน ผมเดินที่ห้างนี้เกือบ 10 รอบมั้งครับ 555 คุ้มจริงๆ

      ก่อนกลับที่พัก เราเดินผ่านร้านอาหารจีนอยู่ร้านนึงขายพวกติ่มซำ คนรอคิวเยอะมาก ชื่อร้าน Swee Choon เลยกะว่าจะหาโอกาสมากินกันครับ แฟนผมเห็นทาร์ตไข่ร้านนี้น่ากินเลยจัดไปคนละชิ้นครับ ขอบอกว่าอร่อยมาก แต่ดันลืมถ่ายรูปไว้ แป่ว!!!


ร้าน Swee Choon

 ขนม ของร้าน Swee Choon

     หมดไป 1 วันแล้วครับ วันที่ 2 ขอรีวิวในตอนหน้านะครับ มาติดตามกันต่อ ที่นี่เลยครับรีวิวเที่ยวสิงคโปร์ 6 วัน 5 คืน วันที่ 2

Chanpit Chirith

1 comment:

  1. No one can stop you writing a perfect blog or article if you are passionate to your job. Your aim is to satisfy your readers with a well written blog and your passion is always behind your every successful assignment. Impressive writing skills can be observed over here.ลุมพินีพระราม3

    ReplyDelete

SUBSCRIBE